www.zeedcondom.com

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และสนุกง่ายๆ

 หลายคู่ หรือบางคู่อาจจะมีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่อง ถุงยางจะมาทำให้อรรถรสในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงหรือไม่มีความสุข ผมก็เลยจะมาเสนอวิธีใช้ถุงยาง ให้เกิดผลดีมากที่สุด และมีความสุขมากที่สุด
ขั้นตอนแรกนะครับ เริ่มจากที่เราต้องใช้ Viva Cream ทาเข้าไปที่คริตอริส และระหว่างที่รอยาออกฤทธิ์
ก็ให้ฝ่ายหญิง ช่วยเราใส่ถุงยางโดยใช้ปาก ห้ามใช้มือช่วยเด็ดขาดนะครับ มันจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยถุงยางที่ใช้ ผมแนะนำให้เป็นแบบร้อน หรือมีปุ่มด้วยยิ่งดี เพราะเป็นการกระตู้นความรู้สึกของฝ่ายหญิงขึ้นไปอีกเท่า หนึ่งนะครับ

ขั้นตอนต่อมานะครับคุณผู้หญิงที่สวมถุงยางให้คุณผู้ชายเรียบร้อยแล้วอย่าพึ่งรีบให้คุณผู้ชายสอดใส่เข้ามา พยายาม ให้เกิดอารมณ์ร่วมด้วยกันให้มากที่สุดก่อนถึงค่อยให้สอดใส่เข้ามา และเพื่อเป็นการให้ Viva Cream ที่ทาไปออกฤทธิ์ เมื่อทั้งคู่พร้อมแล้ว ค่อยเริ่มสอดใส่ครับ หลังจากเสร็จกิจ อย่าคานะครับ เพราะอาจจะทำให้ถุงยางค้างอยู่ข้างในได้ นำออกมาและทิ้งขยะให้เรียบร้อยครับ

เพื่อนๆที่นำไปวิธีใช้ถุงยางแบบนี้ไปใช้ เป็นยังไงก็มาบอกเล่ากันได้นะครับ ^^ 

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี ตามทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริง พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอก
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอด การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นาน การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด
3. การแตกของถุงยางอนามัย
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย

ขั้นตอนการใช้ถุงยางอนามัยมีดังนี้
1. บรรจงฉีกซองอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบออกจากซองอย่างนิ่มนวล ระวังอย่าให้ถุงยางอนามัยสัมผัสกับเล็บหรือของประดับที่มีคม
2. ถุงยางอนามัยบรรจุในซองในลักษณะม้วนเป็นรูปวงแหวน ให้รอยม้วนอยู่ด้านนอก คลี่ถุงยางออกมาสัก 1 - 2 เซนติเมตร
3. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบกระเปาะ(ติ่งตรงปลาย)ไล่ลมออก น้ำมาครอบปลายอวัยวะเพศ (ถ้าหนังหุ้มยาว ต้องรูดขึ้นไปให้พ้นปลายหัว)
4. ใช้อีกมือรูดถุงยางอนามัยขึ้นไปจนถึงโคน (อีกมือยังคงบีบปลายติ่งอยู่)
5. ถ้าใส่ถูกต้อง ตรงติ่งต้องแบนไม่มีลมอยู่ภายใน (ถ้าเป็นแบบปลายมา ต้องเหลือปลายถุงยางไว้สัก หนึ่งเซ็นติเมตร)ทั้งนี้เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยแตก
6. ถ้าความหล่อลื่นไม่พอ ก็สามารถทาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมได้ แต่ต้องหลังจากสวมใส่แล้ว และสารหล่อลื่นที่ใช้ ต้องเป็นสารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ หรือซิลิโคน เช่น ky - jelly อย่ามักง่าย ใช้วาสลินโดยเด็ดขาด เพราะวาสลินเป็นเจลที่มี petroleum เป็นส่วนประกอบ
7. หลังจากเสร็จกิจ ห้ามรอดูผลงาน ห้ามแช่ ต้องรีบถอย ถอนสมอโดยเร็ว ก่อนที่นกเขาจะหลับ ไม่งั้นถุงยางอนามัยจะหลุดค้างคาในถ้ำ
8. ตอนถอนสมอ มือต้องจับขอบปลายส่วนเปิดไว้ด้วย ไม่งั้นถุงยางอนามัยอาจถูกหนีบออกแต่ตัว แต่เสื้อหลุดได้ และเมื่อออกมาแล้ว ต้องระมัดระวังมืออย่าไปโดนด้านนอกของถุงยางอนามัยที่มีสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงอยู่ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (กรณีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา)
9. เมื่อถอดออกแล้ว จะทดสอบรอยรั่วได้โดยเอาไปรองน้ำจากก๊อกใส่ถุงยางที่ใช้แล้ว ถ้ารั่วก็จะเห็นได้

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้กับ ถุงยางอนามัย ของผู้ชาย!!

จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวัง

           ทั้งนี้ พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้

           แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางอนามัยเป็นเครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวัง

           รวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่นๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า condom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น

ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ

           1. การผสม
           2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
           3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
           4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
           5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
           6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย

           ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้

           อย่างไรก็ตาม แม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลาก

           เมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย

ชนิดของถุงยางอนามัย

           ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ
การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่นๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

ประเภทของถุงยางอนามัย

           ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ 56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ 52 มม.

           จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย

http://www.zeedcondom.com/

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ถุงยางอนามัย ดูเร็กซ์

ถุงยางอนามัยอนามัยเรื่องลี้ลับของ ดูเร็กซ์
ตลาดถุงยางอนามัยเป็นเรื่องลี้ลับที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก แม้ว่าในปัจจุบันการแข่งขันจะเริ่มเข้มข้น โดยมีหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น แต่ถึงที่สุด เจ้าตลาดอย่างดูเร็กซ์ก็ยังครอบครองตลาดเป็นรายใหญ่

ที่น่าสนใจคือ จากเดิมที่คิงเท็กและดูเร็กซ์จะเป็นคู่แข่งกัน แต่ปัจจุบันคิงเท็กกลับกลายมาเป็น ซับแบรนด์ให้กับดูเร็กซ์ไปโดยสมบูรณ์

แต่ดั้งเดิมคิงเท็กเป็นแบรนด์ในประเทศ ผลิตโดยบริษัทรอยัลอินดัสตรี ตั้งแต่ปี 2514 และเป็นเจ้าตลาดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งในปี 2534 ลอนดอนอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางพารารายใหญ่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยการร่วมทุนกับบริษัทรอยัลอินดัสตรี และเริ่มวางจำหน่าย ดูเร็กซ์” แต่การทำตลาดก็แยกจากกันกับคิงเท็ก

จนเมื่อ ปีที่ผ่านมาลอนดอนกรุ๊ปก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทรอยัลอินดัสตรี และการผนวกแบรนด์ทั้งสองเข้าด้วยกันก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา

ทั้งดูเร็กซ์และคิงเท็กจึงตกอยู่ภายใต้การทำตลาดของบริษัทเดียวคือ บริษัทลอนดอนรอยัล คอนซูเมอร์โปรดักท์ส์ (ประเทศไทยจำกัด โดยสมบูรณ์ และเมื่อ สิงหาคมที่ผ่านมา ผลจากการผนวกกิจการระหว่างบริษัทด้านเวชภัณฑ์ในอังกฤษ ทำให้บริษัทลอนดอนรอยัลฯเปลี่ยนชื่อไปเป็นบริษัทเอสเอสแอล เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทยจำกัดซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากดูเร็กซ์ เช่น รองเท้า Scholl,ไกร๊ปวอเตอร์ และผ้ายืดรัดข้อ “Tubigrip”เป็นต้น

โดยเฉพาะการทำตลาดถุงยางอนามัยนั้น สงวน สรวยจิรวัฒน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (สินค้าอุปโภค-บริโภค)กล่าวว่า ดูเร็กซ์ครองส่วนแบ่งอยู่ถึง 70% จากตลาดรวม 350 ล้าน

ก่อนหน้านี้ดูเร็กซ์มีซับแบรนด์อยู่แล้วหลากหลาย แต่การเข้ามาของคิงเท็กทำให้การพัฒนาตลาดของดูเร็กซ์ทำได้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

โดยคิงเท็กนั้นถูกวางไว้ที่เป็นถุงยางอนามัยในตลาดมาตรฐาน มีผู้นิยมซื้อใช้สูงสุด ถ้าเทียบสัดส่วนแล้วคิงเท็กอาจจจะมากว่าดูเร็กทุกซับแบรนด์ ประมาณ 40 ต่อ 30 แต่ในแง่มูลค่าแล้วคิงเท็กจะน้อยกว่าเพราะคิงเท็กมีราคาเพียง 30 บาท ขณะที่ดูเร็กซ์อื่นๆจะสูงกว่า บางแบรนด์ราคา 50 บาท

การทำตลาดในอดีตจะแยกกันโดยชัดเจน โดยคิงเท็กถูกวางไว้เป็นตลาดระดับกลาง และดูเร็กซ์เป็นตลาดพรีเมียม

ปัจจัยสำคัญของการดึงคิงเท็กซ์มาเป็นซับแบรนด์นั้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้พัฒนาคุณภาพของคิงเท็กซ์ให้ดียิ่งขึ้น การทำลักษณะนี้เป็นเครื่องยืนยันในคุณภาพ เพราะโดยชื่อของดูเร็กซ์นั้นเป็นที่ยอมรับ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น ทำให้คิงเท็กมีโอกาสขยายตลาดไปได้มากขึ้น

“ คิงเท็กก็มีภาพพจน์เป็นชายหนุ่มบึกบึนเหมือนเดิม แต่ดูทันสมัยขึ้นสงวนกล่าว

ปัจจุบันดูเร็กซ์มีซับแบรนด์อยู่ถึง ตัว ซึ่งสงวนย้ำว่า เป็นแบรนด์เดียวที่สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ครบถ้วนสมบูรณ์และเจาะตลาดได้ครบทุกเซ็กเม้นท์ โดยทั้ง ซับแบรนด์นั้นประกอบด้วย

เฟเธอร์ไลท์ บางปานกลาง และมีสารโนน็อกซินอล ฆ่าเชื้ออสุจิ,ซีเล็กท์ มี กลิ่นใน กล่องประกอบด้วยชะเอม,กล้วยและส้ม,รุ่นเอ็น 11 บางและมีสารบี 4 และสารโมน็อกซินอล,สตรอเบอร์รี่ ,เอ็กไซตา ผิวไม่เรียบ,แคร์เรส ผิวเรียบ บาง,คอนทูร่า ผิวไม่เรียบ และคิงเท็กมาตรฐาน ผิวเรียบ

ในตลาด 350 ล้าน มีอัตราเติบโตประมาณ 3-5% โดยคนไทยมีอัตราการบริโภค 1.5-2 ชิ้นต่อคนต่อปี ขณะที่ ญี่ปุ่นมีอัตราการบริโภคสูงถึง ชิ้นต่อคนต่อปี ดังนั้นสงวนมองว่า ตลาดน่าจะขยายเพิ่มขึ้นไปได้อีกมาก

โดยที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคถุงยางอนามัยของคนไทยแบ่งเป็น การใช้เพื่อเพศสัมพันธ์ในเชิงพาณิชย์หรือ คอมเมอร์เชียลเซ็กซ์ ประมาณ 85% และเพื่อการคุมกำเนิดของคู่สามีภรรยา 15%

แต่พฤติกรรมการบริโภคถุงยางอนามัยของคนไทยมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไป คือคอมเมอร์เชียลเซ็กซ์ 50% แคชชวลเซ็กซ์ (Casaul Sex) 30% และเพื่อคุมกำเนิด 20%

สงวนอธิบายว่า คอมเมอร์เชียลเซ็กซ์มีแนวโน้มลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่ที่เพิ่มขึ้นมากคือ แคชชวลเซ็กซ์หรือ เพศสัมพันธ์นอกสมรส” ซึ่งเกิดขึ้นมากในหมู่วัยรุ่น

เราห่วงใยในสถานการณ์นี้ เพราะวัยรุ่นเริ่มมีทัศนคติในเรื่องเซ็กซ์กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมไม่ได้มองว่าดีหรือไม่ดี ในฐานะผู้ประกอบต้องหาทางรองรับ ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยการให้ความรู้แก่วัยรุ่น

สงวนกล่าวว่า ดูเร็กซ์เป็นค่ายที่พยายามให้ความรู้ในเรื่องเพศศึกษาแก่วัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง และให้ทัศนคติที่ดีแก่พวกเขาไปพร้อมๆกัน ซึ่งถือเป็นภารกิจของบริษัทที่พึงกระทำต่อสังคม

ในแง่การแข่งขันเชิงการตลาดนั้น สงวนกล่าวว่า ผู้บริโภคมีแบรนด์ลอยัลตี้สูงมาก แม้ว่าจะมีแบรนด์ใหม่ๆเข้ามา ผู้บริโภคอาจจะอยากลอง แต่ถึงที่สุดก็จะกลับมาสู่แบรนด์ที่เขาเชื่อมั่น เพราะการใช้ถุงยางอนามัยหมายถึง ความมั่นใจความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องถุงยางอนามัย อะไรก็ได้ แบรนด์ไหนก็ได้ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพและความมั่นใจ

ในตลาดมีคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันที่น่าสนใจคือ แบรนด์ แฟร์,เพลชเชอร์,ดูโอ,วันทัช,ยูโร,ฟูตาริ,บอร์ดี้การ์ด,อพอลโล เป็นต้น แต่คู่แข่งจะมีลักษณะเจาะเป็นเซ็กเม้นท์ๆไป เช่น เจาะตลาดถุงยางอนามัยประเภทกลิ่นรส ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเพลชเชอร์ ที่เน้นไปที่กลิ่นรสชัดเจน เช่น กลิ่นกล้วยหอม,กลิ่นสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น

ในเซ็กเม้นท์นี้ ดูเร็กซ์มีซีเล็กท์ ซึ่งในกล่องเดียวบรรจุ กลิ่นรสคือ ส้ม,กล้วยหอมและชะเอม

ชะเอม” ฟังดูค่อนข้างจะแปลกมาก เพราะไม่นึกว่าใครจะนำรสชะเอมมาเป็นถุงยางอนามัย สงวนอธิบายว่า เป็นถุงยางอนามัยที่มีกลิ่นรสคล้ายเมนทอล และโดยรวมซีเล็กท์ได้รับความนิยมมากในหมู่คนที่ต้องการความแปลกใหม่

ขณะที่หลายแบรนด์พยายามเจาะตลาดคิงเท็ก เพราะเป็นตลาดถุงยางอนามัยประเภทมาตรฐาน ราคาไม่แพง ตลาดมีขนาดใหญ่ แต่คิงเท็กก็ยังเป็นผู้นำในตลาดนี้อย่างเหนียวแน่น

                นอกเหนือจากถุงยางอนามัยประเภทมาตรฐานและกลิ่นรสแล้ว ยังมีอีกประเภทคือ ฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งดูเร็กซ์จะมี N11 และตลาดประเภทพรีเมียม ซึ่งดูเร็กซ์จะมีหลากหลาย เช่น แคร์เรส ซึ่งบางเป็นพิเศษ เป็นต้น

                สงวนทำตลาดถุงยางอนามัยมาไม่ต่ำกว่า ปี ตั้งแต่อยู่ที่อินช์เคปและมีโอกาสทำตลาดนี้มาโดยตลอด แม้ปัจจุบันอินช์เคปหรือในชื่อบอร์เนียวก็ยังรับจัดจำหน่ายให้ดูเร็กซ์ เพียงแต่สงวนย้ายมานั่งอยู่ที่เอสเอสแอลฯแล้ว

                สงวนจบมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีฯลาดกระบัง แต่ไปจากเอ็มบีเอและการตลาดจากสหรัฐอเมริกา

                สงวนเป็น marketeer คนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับวงการถุงยางอนามัยมาไม่น้อยทีเดียว

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของถุงยางอนามัย 15ข้อ

จงบอกประโยชน์ของถุงยางอนามัย15ข้อ


                      สื่อท้องถิ่นในเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกของจีนรายงานเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนว่า อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอฟเอ็นยูในฝูเจี้ยน ได้ออกข้อสอบให้นักศึกษาบอกประโยชน์ของถุงยางอนามัยอย่างน้อย 15 ข้อ ในการสอบปลายภาค วิชา "การวางแผนและความคิดสร้างสรรค์" ซึ่งทั้งลูกศิษย์และอาจารย์หลายคนชอบใจกับคำถามนี้เพราะท้าทายต่อมคิดอย่างยิ่ง อาทิ นักศึกษาคนหนึ่งแซ่เจิ้ง ที่เข้าสอบกล่าวว่าสนุกกับการทำข้อสอบ เพราะเป็นการวัดว่า ผมสร้างสรรค์พอหรือไม่ แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าจริงๆ แล้ว ถุงยางอนามัยอาจนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
                      และเมื่อคำถามนี้ถูกนำไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ได้นำไปสู่การถกเถียงกันอย่างคึกคัก แถมได้คำตอบอีกมากมายจากชาวเน็ต อาทิ นำถุงยางอนามัยไปทำถุงขยะ ทุ่นลอยน้ำชูชีพ หนังสติ๊ก หรือรองเท้ายาง
                      ส่วนนายหวง กั๊วะ อาจารย์ผู้สอนและคิดข้อสอบ ได้ตอบคำถามผ่านทางเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์เว่ยป๋อว่า คำถามนี้ออกแบบมาเพื่อทดสอบความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ยอมรับว่า เกิดปัญหากระอักกระอ่วนใจขึ้นในห้องสอบ เมื่อลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งบอกว่าไม่เคยเห็นถุงยางอนามัยมาก่อนเลย ตนต้องอธิบายให้ฟังว่าถุงยางมีหน้าตาอย่างไร
                      นอกจากคำถามเกี่ยวกับประโยชน์หลายสถานของถุงยางอนามัยแล้ว ยังมีคำถามให้นักศึกษาบรรยายว่า อยากจะออกข้อสอบให้อาจารย์ผู้สอนคณะนิเทศทำบ้างอย่างไรหากมีโอกาส นักศึกษาคนหนึ่งตอบว่า อยากขอให้อาจารย์ตอบคำถามเกี่ยวกับทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ และหากใครทำคะแนนได้ไม่ถึง 60 คะแนน จงบอกประโยชน์ของถุงยางอนามัย 30 ประการ เพื่อเป็นการลงโทษ...สร้างสรรค์ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์จริงๆ

www.zeedcondom.com

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สูญเสียเพื่อที่จะได้รับ

เศรษฐีคนหนึ่งต้องสูญเสียเงินทั้งหมดไปกับการค้า แถมยังเป็นหนี้สินอีกมาก เขาจึงต้องขายบ้านและรถ แต่ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด ในช่วงเวลาแห่งความยกจนข้นแค้นนั้น เขาต้องต่อสู้อย่างโดยเดี่ยว มีเพียงหมาแสนรักร่วมเผชิญชะตากรรมกับเขา
ในคืนที่หิมะตกหนัก เขาเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาหลบหิมะเข้าไปในกระท่อมและใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟขึ้นและเตรียมอ่านหนังสือ แต่บังเอิญมีลมพัดมาทำให้ไฟดับ รอบกายมีแต่ความืดมิด อดีตเศรษฐีตกอยู่ในความมืดอย่างเดียวดาย ทำให้มีความรู้สึกสิ้นหวังแว่บเข้ามาถึงกับจะฆ่าตัวตายแต่ยังดีที่มีหมาคู่ใจอยู่เคียงข้างคลอยเป็นเพื่อน จึงได้แต่ถอนหายใจและข่มตาหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าหมาของเขาถูกฆ่าตายอยู่หน้ากระท่อม เขาก็มีความคิดอยากฆ่าตัวตายอีกครั้งเนื่องจากไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว เขาจึงกวาดตามองสรรพสิ่งบนโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านเงียบจนน่ากลัว เมื่อเดินออกไปเรื่อยๆพบว่าคนในหมู่บ้านถูกฆ่าตายหมด ทำให้เดาได้ว่ามีโจรมาบุกปล้นเมื่อคืนและถูกฆ่าตายทุกคน  อดีตเศรษฐีจึงคิดได้ว่า ข้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของทีนี่ ถือว่าประเสริฐนักจึงควรมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ข้าจะเสียสัตว์ที่แสนรักไป แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา นี่คือสิ่งที่ทดแทนอันล้ำค่าที่สุด

http://www.zeedcondom.com/

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไร เมื่อถุงยางแตก

ถุงยางแตก จะทำอย่างไร
เรียน คุณอาหมอนพพรที่เคารพ 
ผมอายุ 25 ปี ผมยังไม่มีแฟนครับ เมื่อเร็ว ๆนี้ผมก็เพิ่งจะไปมีอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง ปัญหาของผมคือตอนที่สวมถุงยางอนามัย ไม่ทราบว่าผมจะใช้ถูกวิธีหรือไม่ ถุงยางถึงได้แตกตอนที่ผมกำลังร่วมเพศ ผมกังวลใจมากกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยอาจจะไปติดโรค จากผู้หญิงคนนั้นมาแล้วก็ได้ ผมก็เลยอยากจะขอปรึกษาอาหมอดังนี้ 

1. ผมอยากรู้วิธีการใช้ถุงยางคร่าว ๆ ครับ ผมคิดว่าผมทำถูกวิธีแต่ทำไมถุงยางถึงแตกได้เป็นไปได้ไหมครับว่าถุงยางหมดอายุ แล้วการที่ถุงยางที่ผมใส่แตกขึ้นมาผมจะมีโอกาสติดโรคได้ไหมครับ ถ้าผู้หญิงเป็นโรคอยู่ก่อน 

2. ผมอยากทราบอาการของต่อมลูกหมากโตครับ ว่าเป็นอย่างไร ถ้าผมปัสสาวะไม่ค่อยออกบ่อย ๆ จะถือว่าเป็นต่อมลูกหมากโตได้ไหมครับ ถ้าไม่ใช่แล้วผมเป็นโรคอะไรครับอาหมอ จะมีวิธีรักษาได้หรือไม่

ตอบ คุณ ม. 
คุณอายุ 25 ปี ยังไม่มีแฟน คุณได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เพื่อนแนะนำ คุณได้ใช้ถุงยาง อนามัยเพื่อเป็นการป้องกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับที่รู้จักป้องกันเพื่อความปลอดภัยทั้งตนเองและผู้อื่น แต่ว่าคุณโชคไม่ดีที่ถุงยางอนามัยที่ใช้เกิดขาดขึ้นมา ทำให้คุณกังวลใจมากกลัวจะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากผู้หญิงคนนั้นมา 

คำถามของคุณผมขอตอบให้ดังนี้ 

1. ผู้ชายเมื่อคิดจะมีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย คือ กับผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยา สิ่งแรกที่ควรคำนึงคือเรื่องความปลอดภัยทั้งจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ เป็นต้น การสวมถุงยางอนามัยถ้าสวมไม่ถูกวิธี หรือถุงยางอนามัยไม่ได้มาตรฐาน หมดอายุ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาถุงยาง อนามัยแตก รั่วได้ ทำให้มีโอกาสที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ถ้าอีกฝ่ายเป็นโรคอยู่ก่อน จึงต้องตรวจดูและระมัดระวังให้มากเวลาใช้ วิธีใช้ถุงยาง อนามัยคร่าว ๆ เราจะสวมถุงยางอนามัยเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้ว เริ่มจากการฉีกถุงยางด้วยมือ พยายามระมัดระวังอย่าให้ขาดด้วยการไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัดออก หรือแม้แต่เล็บของเราก็ทำให้มีปัญหาเกิดการฉีกขาดได้ เมื่อฉีกถุงยางแล้วให้บีบกระเปาะส่วนปลายของถุงยางอนามัยให้แบนเพื่อที่ว่าเมื่อมีการหลั่ง จะสามารถรองรับน้ำอสุจิได้ไม่แตกขาดเมื่อไปกระทบกับมดลูกขณะมีกิจกรรม เมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิแล้วควรขยับตัวออกมาไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเนื่องจากหากนานเกินไปอวัยวะเพศจะอ่อนตัวทำให้ถุงยางอนามัยหลุดอยู่ในช่องคลอดได้ หากกังวลว่าถุงยางจะแตกสามารถสวมถุงยางทับอีกชั้นหนึ่งได้ครับ 

2. อาการต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hypertrophy ; BPH) มักพบในชายสูงอายุ เกิน 50 ปีขึ้นไป ในคนหนุ่มเช่นคุณโอกาสที่จะเป็นแทบจะไม่มีเลยครับ ปกติต่อมลูกหมากจะมีขนาดราว ๆ ลูกหมากธรรมดา อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ เมื่อโตขึ้นมาก ๆ จะไปปิดกั้นทางเดินปัสสาวะ บางครั้งกดกระเพาะปัสสาวะทำให้ถ่ายปัสสาวะออกไม่หมด ปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะไหลช้า และไหลเป็นหยด ขณะหยุดถ่าย อาจมีการแสบร้อนร่วมด้วย ถ้ามีอาการปิดกั้นมากขึ้นอาจทำให้ปัสสาวะไหลกลับไปยังไตและทำให้ไตเสียหายได้ นอกจากนี้ต่อมลูกหมากอาจเกิดการอักเสบจากเชื้อต่าง ๆ ได้ เช่น เชื้อหนองใน หรืออาจเกิดเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมากในวัยสูงอายุก็ได้ การป้องกันที่ดีคือไม่สำส่อนทางเพศ และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย เช่น เวลาไปเที่ยวผู้หญิงบริการ เป็นต้น คุณอาจจะมีการอักเสบที่ท่อปัสสาวะก็เป็นได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาจะดีที่สุดครับ 
Q : โอกาสถุงแตกมีมากขนาดไหน
A : เคยคุยกับทาง dealer ของ phizer durex
เขาตอบมาว่า โอกาสถุงยางขาดมีน้อยกว่า 1% โดยให้คิดเป็นครั้งๆ

หมายถึงว่า ไม่ใช่ 1% ที่แบบ มี Sex 100 ครั้ง โอกาสขาด 1 ครั้ง
แต่ให้คิดว่าคุณมีโอกาสที่ถุงยางจะขาดแค่ 1 ใน 100 ใน Sex แต่ละครั้งเท่านั้นเอง

เจอบทความดีๆ ครับ เลยนำมาเป็นความรู้ฝากเพื่อนๆ ครับ

แฟนผมมีความกังวลครับ ถามจิกผมหลายวันแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปสอบถามใคร รบกวนช่วยผมหน่อยนะครับ ผมจะได้เอาพื้นฐานคำตอบของพี่วัยใส ไปบอกให้เขาเข้าใจนะครับ เพราะผมก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ผมมีอะไรกันกับแฟนครับ มีอะไรกันจริงๆ แต่ก็ใช้ถุงยางอนามัยนะครับ แฟนผมเป็นคนใส่ให้ แต่ก่อนที่จะใส่ถุงยางอนามัย ผมกับแฟนก็เล้าโลมกันก่อน จนผมมีน้ำหล่อลื่นหลั่งออกมา ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติครับ หลังจากเล้าโลม และใส่ถุงยางอนามัย ผมก็จะสอดใส่ แต่มันเป็นครั้งแรกของแฟนผมครับ ช่องคลอดของเธอจึงค่อนข้างเล็ก หรือพูดง่ายๆว่าสอดใส่ไม่เข้าครับ จนสารหล่อลื่น บริเวณผิวนอกของถุงยางอนามัยแห้งไปเลยครับ รู้สึกว่าแฟนผมก็กล้าๆกลัวๆ ช่องคลอดของเธอก็แห้งไปเหมือนกัน พยามสอดใส่ ไปสักห้าถึงหกครั้ง ก็ไม่สามารถสอดใส่เข้าไปได้ เพราะต่างคนต่างไม่มี สารหล่อลื่นแล้วครับ คือพยามดันเข้าไปทั้งที่ยังแห้ง ห้าถึงหกครั้ง ก็เลิกไป ยกแรก ต่อมา แฟนผมก็บอกให้ผมลองเอาถุงยางอนามัยมาเปลี่ยนใหม่ ผมก็ถอดของเก่าออก แล้วแฟนผมก็ใส่อันใหม่ให้ แต่ตอนถอดออกนี่แหละครับน้ำหล่อลื่นของผมมันยังมีอยู่ภายในถุงยางอนามัยอันเก่าหรือติดอยู่บริเวณองคชาติของผม(แฟนผมบอกมาแบบนี้ เห็นเขาบอกว่าเขาเห็น) ผมก็ สัมผัสไปก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วก็ใช้มือนั้น ใช้นิ้วให้เธอเพื่อเปิดทาง ก็คือประเด็นของปัญหาเลยครับ ประเด็นแรก แฟนผมถามว่า ไอน้ำที่มันใสๆเนี่ย ถ้ามันติดมือผมช่วงเปลี่ยนถุงยางอนามัยแล้วไปทำให้เขา จะเป็นอะไรไหม ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรตอนนั้น ต่อมาผมก็ลองสอดใส่ห้าถึงหกครั้ง ก็ยังไม่เข้าครับ แห้งเหมือนครั้งก่อนทุกอย่าง ทั้งสองฝ่าย แฟนผมก็เลยบอกว่าเจ็บ ผมก็เลยเลิกกิจกรรมนี้ไปเลย แฟนผมก็ช่างสังเกตจริงๆหรืออาจจะเป็นครั้งแรกของเขา เขาจึงกังวล ผมก็ไม่รู้ เขาจึงถามผมอีกคำถามหนึ่งสั้นๆว่า ถุงยางจะแตกไหม เสียดสีกันแห้งๆ แต่ก็มาถามมตอนหลังเลิกกิจกรรมนี้ไปแล้ว ผมก็เอาถุงยางทิ้งไปแล้ว ผมว่าจะลองใส่น้ำให้เธอดูหน่อย ก็ไม่ทันแล้ว ผมก็เลยไม่พูดอะไร พูดสั้นๆว่า มันเหนียวกว่ายางรถยนต์อีก ผมจึงเปลี่ยนวิธี มาให้เธอใช้มือให้ผมจนเสร็จ หลังจากเสร็จ ก็ใช้น้ำล้างมือพอเปียกๆเช็ดพอหมาดๆ นอนพักไปสัก20นาที ติ่นขึ้นมา ผมก็ไปใช้นิ้วให้เธออีก เธอก็ถามผมว่า ล้างมือหรือยัง ผมก็บอกว่า ล้างพอเปียกๆ เธอก็ถามอีกครับ ว่าจะเป็นไรไหม ถ้ามือผมไปติดน้ำอสุจิของผม ผมก็บอกเธอไปว่า ล้างมานิดหน่อย แต่ก็นอนพักไปตั้งยี่สิบกว่านาที มันคงเดี้ยงไปหมดแล้ว เธอก็เหมือนจะเข้าใจ แต่พอผ่านมาอีกวัน ก็มาบอกผมว่ารู้สึกค่อนข้างกังวล เหมือนที่ผมถามไปแหละครับสามประเด็นตัวอักษรแดงอะครับ ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ผมก็รู้สึกผิด ผมเลยบอกเธอไปว่า เดี๋ยวจะลองไปถามผู้รู้มาให้ ไม่ต้องกังวล..... ตามความคิดผม ผมคิดว่า คงจะเป็นครั้งแรกของเขา แปลกไหมครับ ถ้าฝ่ายหญิงจะกังวลแบบเรื่องที่ผมคิดว่ามันเล็กๆน้อย เพราะผมก็บอกโดยภาพรวมไปแล้วว่า ใช้ถุงยางอนามัยแล้วนะ สอดใส่ก็ไม่เข้าด้วย มากสุดอาจจะได้แค่หัวอวัยวะเพศ หรือตอนใช้นิ้วก็คงไม่มีปัญหาอะไร แฟนผมก็ตอบกลับมาอีกว่า คิดลวกๆแบบนี้ ไม่เป็นผู้หญิงคงไม่รู้ โดนเลยผม ฟังๆไปอาจจะดูขำๆนะครับ แต่ผมควรจะบอกแฟนผมอย่างไรดีครับ ถ้พี่วัยใสเป็นผม เพื่อให้เขาสบายใจ ประเด็นหลักๆคือ แฟนผมกังวลเรื่องน้ำหล่อลื่น แฟนผมกังวลเรื่องถุงยางอนามัยจะขาด แฟนผมกังวลเรื่อง20นาทีแล้วมาใช้นิ้วให้เขา รบกวนหน่อยนะครับ ช่วยผมด้วย

พี่วัยใสขออนุญาตตอบเป็นข้อๆดังนี้ค่ะ
1). น้ำที่แฟนคุณpasoontaraกังวล ซึ่งเห็นติดอยู่ที่องคชาตนั้นเป็นเพียงน้ำหล่อลื่นที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ชายและผู้หญิงเกิดอารรมณ์ทางเพศ ซึ่งไม่ใช้น้ำอสุจินะคะ โอกาสท้องจึงไม่เกิดขึ้นค่ะ
2). ถุงยางอนามัยค่อนข้างขาดยากอยู่แล้วค่ะ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์และการเสียดสีที่รุนแรงอันนี้เสี่ยงขาดได้นะคะ(แต่เกิดขึ้นได้น้อยมากๆค่ะ) และคุณpasoontaraบอกแฟนไปเลยค่ะว่า คุณไม่ได้มีการหลั่งแต่อย่างใดในขณะที่ใส่ถุงยางและพยายามสอดใส่ ดังนั้นโอกาสท้องจึงเกิดขึ้นได้ยากหรือเกิดขึ้นไม่ได้เลยค่ะ
3). ส่วนเรื่องที่แฟนคุณกลัวว่ามือของคุณจะเปื้อนอสุจิ และหลังจากผ่านไป20นาที ก็ได้มาใช้นิ้วกับแฟน ในกรณีนี้เท่าที่พี่วัยใสได้อ่านคุณpasoontara ได้ให้แฟนใช้มือช่วยจนเสร็จไม่ใช้หรือค่ะ ดังนั้นอสุจินั้นก็น่าจะติดที่มือแฟนคุณมากกว่านะคะ แต่หากอสุจิจะติดมือคุณpasoontaraจริงๆ แต่ก็ได้มีการล้างมือแล้ว และผ่านไปตั้ง20นาทีแล้วก่อนจะใช้นิ้วช่วยแฟน แบบนี้อสุจิไม่รอดแล้วล่ะจ้า...^_^

แต่หากแฟนคุณpasoontaraยังไม่สบายใจ จะลองให้ซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจดูก็ได้นะคะ โดยสามารถตรวจได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว2-3อาทิตย์ค่ะ...^_^

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปิดตำนานถุงยางพันปี

เปิดตำนานถุงยางพันปี กรรมวิธีลับ...สุดยอด!!!
ทุกครั้งที่ใช้ถุงยางอนามัย เคยคิดบ้างไหมว่า วัตถุชิ้นเล็กๆ ที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันโรคและเป็นเกราะกำบังสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรนั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร เพราะกว่าที่จะกลายมาเป็นถุงยางอนามัยนั้น เส้นทางการผลิตล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความยุ่งยากและมีความลับซุ กซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
      
"ถุงยางอนามัย" ไม่ใช่ของแปลกใหม่แห่งศควรรษที่ 20 ประวัติความเป็นมาสามารถนับย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว        หากถามว่า รู้จัก "ถุงยางอนามัย"หรือไม่
       ร้อยทั้งร้อยคงต้องตอบว่า “รู้จัก” ยิ่งเป็นสุภาพบุรุษด้วยแล้วละก็ย่อมต้องเคยได้ใช้กันบ้างไม่มาก ก็น้อย ยิ่งในยุคที่โรคเอดส์ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คร่าชีวิตพลเมืองโ ลกไปเป็นจำนวนมหาศาล ถุงยางอนามัยยิ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุรุษเพศที่ชื่นชอบในก ามกรีฑาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่สัดส่วนการใช้ถุงยางในธุรกิจบริการทางเพศยังคงมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 70%
      
       “ถุงยางอนามัย” ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปี บอกไปแล้วอย่าเพิ่งตกใจวิธีการคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดแบบหนึ่งนี้ มีประวัติความเป็นมาที่สามารถนับย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว
      
       เท่าที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ถุงยางอนามัยปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกในราว 807-677 ปีก่อนคริสตกาล โดยชายชาวอียิปต์ในสมัยโบราณสวมปลอกประเภทนี้เอาไว้เพื่อป้องกั นการติดเชื้อ การบาดเจ็บและการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
      
       จากนั้นถุงยางอนามัยก็ได้มีการวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้ามาช่วยปรับปรุงการผลิตถุงยางอนามัยให้มีความทันสมัยขึ้น กว่า ที่บรรพบุรุษเคยใช้เป็นอย่างมาก
      
         
       เทคโนโลยีการผลิตเหล่านี้ ผู้ผลิตแต่ละค่ายต่างหวงแหนและถือเป็น "ความลับทางการค้าขั้นสุดยอด" ที่ต้องปกปิดเอาไว้ไม่ให้รั่วไหลออกไปสู่ภายนอกโดยเด็ดขาด ชนิดที่เรียกว่ายิ่งกว่าไข่ในหินเลยก็คงจะว่าได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจนำไปสู่การลอกเลียน แบบและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับทางบริษัทได้
      
       ด้วยเหตุนี้ ระเบียบปฏิบัติในการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตถุงยางอนามัยแต่ละแห่ง จึงถูกกำหนดเอาไว้อย่างรัดกุม เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองความเป็นเจ้าตลาดของสินค้าประเภทนี้ ต้องทำเรื่องขออนุญาตไปที่บริษัทแม่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ล่วงหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ก่อนที่บุคคลภายนอกจะได้รับการอนุมัติให้เข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยี การผลิตถุงยางอนามัยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเงื่อนไขที่ว่าห้ามถ่ายรูปภายในโรงงานเป็นอันขาด
      
       จริงๆ แล้วในทุกขั้นตอนการผลิตล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความลับตลอด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสูตรน้ำยางที่คิดค้นและพัฒนามา หรือแนวองศาในการเอียงของแท่งแก้ว เรื่องภาพถ่ายจึงต้องควบคุมอย่างเข้มงวด เนื่องจากถ้าภาพถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ผลิตรายอื่นที่มีปัญหาและยังแก้ไขไม่ตก เขาเห็นภาพเพียงแค่นิดเดียว เขาก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ในทันที
      
       นอกจากความลับที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว กระบวนการผลิตของถุงยางอนามัยยังเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน มิหนำซ้ำยังต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นกว่าที่ถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นจะหลุดออกมาให้เราๆ ท่านๆ ได้ใช้นั้น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่เพียงแค่เอาแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปจุ่มลงไปในน้ำยาง อบให้แห้งก็สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว
      
       การเดินทางของถุงยางหนึ่งอัน
      
       กระบวนการผลิตถุงยางอนามัยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในสวนยางพารา ก่อนที่จะมีการส่งยางดิบเข้ามาที่โรงงาน จะต้องมีการนำตัวอย่างมาตรวจสอบเสียก่อน ถ้าตัวอย่างดังกล่าวไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็จะไม่รับยางในครั้งการผลิตนั้นเข้าสู่โรงงาน
      
       กรณีที่ผ่านการตรวจสอบจะมีการกำหนดรหัสประจำครั้งซึ่งจะเป็นรหั สประจำตัวที่ใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต จากนั้นส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นสูตรจะถูกนำมาผสมกับน้ำยางดิบ เพื่อให้ยางมีความคงตัวและทนทาน หลังจากที่ใช้เวลาบ่มตัวไม่น้อยกว่า 10 วันเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่วนผสมนี้จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการผลิตต่อไป
 
ถัดมาคือขั้นตอนการ "จุ่มขึ้นรูป" ขั้นตอนนี้จะต้องทำภายในห้องปลอดฝุ่นละออง ซึ่ง ติดตั้งระบบกรองอากาศไฟฟ้าสถิต โดยแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปที่เรียงต่อกันเป็นแถวจะค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจุ่มในถังที่มีส่วนผสมน้ำยางธรรมชาติที่ต้องควบคุม อุณหภูมิให้เหมาะสม
      
       แท่งแก้วแต่ละแท่งจะหมุนไปรอบๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ส่วนผสมนี้กระจายตัวติดแท่งแก้วด้วยความหนาเท่าๆ กันทั้งชิ้น จากนั้นแท่งแก้วจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าตู้อบอินฟราเรดเพื่อให้น้ำ ยางแห้ง
      
       เมื่อออกจากตู้อบ แท่งแก้วจะต้องจุ่มน้ำยางอีกเป็นครั้งที่สอง เพื่อให้ถุงยางอนามัย มีความหนาและทนทานเพียงพอ และเมื่ออบแห้งครั้งที่สองแล้วแท่งแก้วจะเคลื่อนที่ผ่านแปรงขนนุ่มที่ทำหน้าที่ม้วนขอบถุงยาง ก่อนที่จะผ่านเข้าสู่ตู้อบครั้งสุดท้ายเพื่อให้สารประกอบต่างๆ ในส่วนผสมน้ำยางธรรมชาติทำปฏิกิริยากันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งทำให้ชั้นของ น้ำยางธรรมชาติที่เกิดจากการจุ่มครั้งที่สองหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
       หลังจากนั้น แท่งแก้วจะผ่านขั้นตอนการล้างน้ำที่ผสมสารเคมีเพื่อให้ถุงยางอนามัย ลื่นหลุดออกได้โดยง่าย เมื่อขั้นตอนการขึ้นรูปเสร็จเรียบร้อย ในระหว่างนั้นถุงยางจะถูกนำไปล้างสารเคมีต่างๆ ให้หลุดออกจากผิวยางถุงยางอนามัยให้หมด พร้อมทั้งใส่แป้งเข้าไปเพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน เมื่อล้างเสร็จก็จะนำไปเข้าตู้อบให้แห้งต่อไป ขณะเดียวกันถุงยางบางส่วนจะถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อนำมาตรวจสอบคุณ ภาพใน 3 ส่วนด้วยกันคือ ตรวจความรั่ว ทดสอบแรงดันอากาศและทดสอบความทนทาน
      
       พนักงานจะสุ่มตัวอย่างบางส่วนมาตรวจความรั่วด้วยการเติมน้ำเข้า ไป 300 ซีซี แขวนทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วนำมาคลึงบนกระดาษสีซับน้ำ ถ้าถุงยางเกิดรอยรั่ว จะสามารถสังเกตุเห็นรอยน้ำรั่วซึมบนกระดาษสีได้ชัดเจน จากนั้น ถุงยางก็จะถูกส่งต่อไปยังส่วนที่ทำการทดสอบแรงดันอากาศ อากาศจะถูก อัดเข้าไปในถุงยาง โดยมาตรฐานกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องทนแรงอัดอากาศได้ไม่ต่ำกว่า 18 ลิตรก่อนที่จะระเบิดแตกออก
      
       บางส่วนจะนำไปทดสอบความทนทาน ด้วยการยืดชิ้นส่วนถุงยางอนามัยที่ตัดเป็น ชิ้นกว้างประมาณ 20 มิลลิเมตร ชิ้นส่วนถุงยางจะต้องยืดออกได้ยาวถึง 8 เท่าของความ ยาวปกติก่อนที่จะขาด

ก่อนที่จะนำถุงยางมาบรรจุกล่องในขั้นตอนสุดท้าย ถุงยางทุกชิ้นที่ผลิตได้จะต้องผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์ เพื่อตรวจหารอยรั่วหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ถุงยางแต่ละชิ้นจะถูกครอบลงบนแท่งโครเมียม จากนั้นจะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงขนาด 2,000 โวลต์เข้าไปสู่แท่งโลหะนี้ และจะมีสัญญาณเตือนให้ทราบเมื่อถุงยางอนามัยชิ้นใดชิ้นหนึ่งมีร อยรั่วหรือสิ่งผิดปกติ ซึ่งถุงยางอนามัยชิ้นนั้นจะถูกแยกออกมาต่างหากเพื่อคัดทิ้งต่อไ ป
      
       อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการตรวจสอบคุณภาพจะดำเนินไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาด ไหนก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นจะสมบูรณ์แบบและปลอดภัย 100% เพราะจาก ข้อมูลที่ทางบริษัทผู้ผลิตบันทึกเอาไว้เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูรั่ว
      
       จากนั้นถุงยางอนามัยที่ตรวจสอบคุณภาพแล้วจะถูกนำไปบรรจุฟอยล์แล ะเติมสารฆ่าเชื้อหรือกลิ่นต่างๆ เป็นขั้นตอนสุดท้าย ปกติทั่วไปแล้วมาตรฐานของอย.กำหนดเปอร์เซ็นต์การรั่วเอาไว้ที่ 0.25%
      
       จะเห็นได้ว่ากว่าที่จะมาเป็นถุงยางแต่ละชิ้นนั้นเต็มไปด้วยความ ลับและความยุ่งยาก อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ใช้เองก็ต้องมีความระมัดระวังและใช้ให้ถูกวิธีเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นแล้วแม้สินค้าจะมีคุณภาพมากมายสักเพียงใด แต่ถ้าผู้ใช้ใช้ไม่เป็นแล้ว อันตรายก็ย่อมอาจเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือต้องพึงสังวรณ์เอาไว้ว่า ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามา รถคุมกำเนิดหรือป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคติดต่อทางเพศสั มพันธ์ได้ 100%

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ถุงยางไซส์ 54 เพื่อชายไทยสมัยใหม่

กรมควบคุมโรคฟ้องบประมาณจัดซื้อถุงยางป้องกันเอดส์ไม่พอกับความต้องการ  ชี้ปีหนึ่งต้องการใช้ 230 ล้านชิ้น แต่ สธ.-สปสช.จัดหาได้แค่ 40 ล้านชิ้น  เผยต้องเพิ่มขนาด 54 มม.ด้วยเหตุขนาดชายไทยไซส์ใหญ่ขึ้น
วันนี้(26 มิ.ย.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2555 - 2559 ว่าจะมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 43,040 ราย ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะใช้มาตรการเร่งรัดการเข้าถึงถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่ใช่คู่ของตนเองให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และรณรงค์ให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมาตรวจเลือด หากติดเชื้อจะได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ และไม่ผู้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า คาดว่าความต้องการใช้ถุงยางอนามัยของคนไทยทั่วประเทศมีปีละประมาณ 230 ล้านชิ้น แต่ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สามารถสนับสนุนได้เพียง 40 ล้านชิ้น ส่วนที่เหลือประชาชนซื้อใช้เองและไม่ใช้ถุงยางอนามัยซึ่งขณะนี้งบประมาณที่จะจัดซื้อไม่เพียงพอกับความต้องการจึงจำเป็นต้องหาเครือข่ายสนับสนุนถุงยางอนามัยเพิ่มเติมจากองค์กรภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหาถุงยางอนามัยแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในท้องที่ของตนเอง และขอความร่วมมือประชาชนซื้อถุงยางอนามัยใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ อย่าอาย ในแง่งบประมาณการสนับสนุนถุงยางอนามัย เป็นการลงทุนที่น้อยมาก เพาะหากติดเชื้อเอชไอวีต้องใช้เงินมากในการรักษาตนเองไปตลอดชีวิต รัฐบาลต้องเสียงบประมาณเพื่อการรักษามากมายหลายเท่า
นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า กรมควบคุมโรคมีโครงการให้ความรู้ในการใช้ถุงยางอนามัยแก่เด็กนักเรียนชายระดับมัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา สำหรับกลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วไป และมีบริการเข้าถึงถุงยางอนามัย โดยตั้งจุดรับบริการถุงยางอนามัยในสถานบันเทิง คลินิกกามโรค และเพิ่มขนาดของถุงยางอนามัยจาก 2 ขนาด เป็น 3 ขนาด คือ 49 มม. 52 มม.และ 54 มม. เพื่อตอบสนองเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ถุงยางอนามัย
“เหตุที่ต้องจัดหาถุงยางอนามัยขนาด 54 มม.เนื่องจากปัจจุบันคนไทยสูงเกิน 170 ซม. น้ำหนักเกิน 70 กก.มีมากขึ้น ใช้ขนาดเดิมไม่ได้แล้ว ดังนั้นวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 30 ปีต้องใช้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพราะถ้าใช้ขนาดเล็กอาจรัดเกินไป ก็เหมือนใส่เสื้อคับไปทำให้อึดอัดก็ต้องใช้เสื้อขนาดใหญ่ขึ้น” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว.
สนใจซื้อถุงยางได้ที่ : http://www.zeedcondom.com/

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่กล้าซื้อถุงยาง ทำไงดี


               ปัจจุบันคนเราเวลาจำเป็นต้องใช้ถุงยาง จะมีหลายเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าซื้อถุงยาง ซึ่งการซื้อถุงยางนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อฝ่ายหญิง และในปัจจุบันการซื้อถุงยางนั้น ก็ทำได้หลายช่องทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหยอดตู้ หรือซื้อตามร้านขายยา 7-Eleven และผ่านทาง Internet ซึ่งวิธีที่นิยม กันช่วงนี้คือซือถุงยาง ผ่านทาง Internet เพราะทำให้เราไปต้องไปซื้อโดยตรง และสามารถรอรับของได้ที่บ้านเลย และร้านขายถุงยาง ทาง Internet เดี๋ยวนี้ ก็มีราคาถูกมากและรักษาความลับของลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ตลาดการขายถุงยาง ผ่าน Internet ช่วงนี้ที่ผ่านมามีการเติบโตมากขึ้น
               การซื้อถุงยางผ่านร้านทาง Internet คนส่วนมากจะกลัวเรื่องการหลอกลวง หรือว่าโอนเงินไปแล้วจะได้ของหรือไหม แต่ทางร้านก็มีวิธีการขายหลายแบบที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าน่าซื้อ
ซึ้งการซื้อถุงยางผ่าน Internet นั้น จะมีผลดีอีกอย่างคือเราจะมีเวลาเลือกดูสินค้าที่ต้องการ ได้หลายอย่าง ซึ่งต่างกับซื้อตามร้านทั่วไป คนส่วนมากจะรีบซื้อ รีบจ่ายเงิน ทำให้ไม่มีเวลาดูรายละเอียดถุงยาง ทำให้ใช้ได้ถุงยางได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรืออาจจะซื้อผิดขนาดมาทำให้เกิดปัญหาถุงยางฉีกขาด และทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามมา ซึ่งการซื้อถุงยางผ่าน Internet เราก็ควรใช้มันให้เป็นประโยชน์ควรศึกษาข้อมูลถุงยางแต่ละรุ่นให้ดีก่อนที่จะซื้อ เพราะถุงยาง มีหลากหลายแบบ หลายประเภทให้เลือกใช้มากมายตามความเหมาะสม เพราะฉะนั้น เราควรดูตัวเองว่าชอบถุงยางแบบไหน ถุงยางแบบไหนเหมาะกับเรา เมื่อเราได้ถุงยางที่เหมาะกับเราแล้ว ค่อยทำการสั่งซื้อถุงยางมาใช้ แค่นั้นก็ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อถุงยาง ตามร้านทั่วไป ซึ่งบางคนอาจจะไม่กล้าซื้อ นี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการซื้อถุงยางมาใช้แต่ไม่กล้า

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แพ้ถุงยางอนามัย

การแพ้ถุงยางอนามัยส่วนมากเกิดจากการแพ้ยาง (latex allergy) ส่วนน้อยเกิดจากการแพ้สารฆ่าอสุจิ (Spermicide)  ถุงยางอนามัยที่มีขายในท้องตลาดส่วนมากทำจากยางธรรมชาติ    ผู้ใช้มีโอกาสแพ้ถุงยางอนามัยได้ 1-3%  อาการแพ้เกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง  หากแพ้ถุงยางอนามัยจะมีอาการคัน ระคายเคือง มีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ  อาการมักเกิดขึ้น 6 – 48 ชม. หลังใช้ถุงยางอนามัย
          อาการแพ้ถุงยางอนามัยสามารถหายได้เอง  การรับประทานยาแก้แพ้สามารถช่วยรักษาและบรรเทาอาการคันได้  ผู้ที่มีอาการแพ้ถุงยางอนามัยควรเปลี่ยนไปใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น  หรือเปลี่ยนเป็นถุงยางชนิดที่ทำจากสาร polyurethane และไม่ผสมสารฆ่าอสุจิ (Spermicide)
          อาการแพ้อย่างรุนแรงมีโอกาสเกิดน้อยมาก  ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจไม่ออก ความดันโลหิตต่ำ บวม  คลื่นไส้อาเจียน  ในกรณีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยเร่งด่วน
          บางครั้งอาการที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้เกิดจากการแพ้ถุงยางอนามัย  แต่อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การแพ้สบู่ การติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น  หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์สูติ-นรีเวช

หลุยส์ วิตตอง ผลิตถุงยางอนามัยสุดหรู



ลุยส์ วิตตอง งานเข้า! ดีไซเนอร์จอร์เจียผลิตถุงยางอนามัยประทับลายหลุยส์ วิตตอง ก่อนแพร่ภาพกระฉ่อนเน็ต คนทั่วโลกเชื่อ หลุยส์ วิตตอง เปลี่ยนแนว ตีตลาดถุงยางอนามัยสำหรับคนมีระดับ

           เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ไอบีไทมส์ รายงานว่า ถุงยางอนามัย "หลุยส์ วิตตอง" กลายเป็นประเด็นที่กำลังแพร่สะพัดในวงการทวิตเตอร์ ลือหึ่งว่าแบรนด์ดังเปลี่ยนแนว ก่อนสืบสาวพบว่า เป็นผลงานของดีไซเนอร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อล้อเลียนเท่านั้น ไม่ใช่ของหลุยส์ วิตตองแต่อย่างใด

           โดยถุงยางอนามัยดังกล่าว เป็นถุงยางอนามัยสีน้ำตาลตามแบบฉบับของหลุยส์ วิตตอง และพิมพ์ลาย LV ลงบนพื้นผิวถุงยางด้วย ไม่เพียงแค่นั้น มันยังถูกห่อด้วยซองลายหลุยส์ วิตตอง อีก ทำให้เข้าใจว่าเป็นของหลุยส์ วิตตอง จริง ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน และแน่นอนว่า หลังจากมีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวออกมาแล้ว ก็มีการส่งต่อกันไปตามทวิตเตอร์อย่างกว้างขวาง สร้างความเข้าใจผิดกับผู้ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำยังมีการระบุอีกว่าถุงยางแบรนด์ดังชิ้นนี้ ราคาสูงถึงชิ้นละ 2,040 บาทเลยทีเดียว

           จากประเด็นดังกล่าว ทำให้มีการสืบสาวหาต้นตอและข้อเท็จจริง และพบว่า ถุงยางอนามัยชิ้นนี้ไม่ใช่ของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง แต่อย่างใด แต่เป็นไอเดียของดีไซเนอร์จอร์เจียนามว่า คิซิเรีย ที่ผลิตถุงยางชิ้นนี้ขึ้นเชิงล้อเลียน เพื่อใช้ในการรณรงค์ในวันเอดส์โลก และหารายได้เพื่อบริจาคให้กับมูลนิธิวิจัยโรคเอดส์ ขณะที่โฆษกหลุยส์ วิตตอง นั้น ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อโครงการนี้

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โป๊ปยอมรับการใช้ถุงยางอนามัย


สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงยอมรับเป็นครั้งแรก การใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องยอมรับได้ "ในบางกรณี" อาทิ ใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอดส์ กระนั้น ทรงยืนยัน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โดยใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ใช่เพศสัมพันธ์ที่เกิดจากความรัก แต่เกิดจากความใคร่มากกว่า

พระสันตะปาปาทรงแสดงมุมมองดังกล่าว ในหนังสือ "แสงสว่างส่องโลก: พระสันตะปาปา พระศาสนจักร และเครื่องหมายแห่งกาลเวลา" หนังสือที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ ดร.ปีเตอร์ ซีวัลด์ นักข่าวชาวเยอรมัน สัมภาษณ์ในกรณีต่างๆที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักรคาทอลิก อาทิ คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในยุโรปและอเมริกา, ปัญหาโรคเอดส์ในแอฟริกา, มุมมองที่พระศาสนจักรมีต่อการใช้ถุงยางอนามัย และการยกเลิกโทษขับไล่ พระสังฆราช 4 องค์ของสมาคมนักบุญปีโอ ที่ 10 โดย "ลอสแซร์วาตอเร่ โรมาโน่" หนังสือพิมพ์ประจำนครรัฐวาติกัน ได้นำบทสัมภาษณ์เรื่องการใช้ถุงยางอนามัย มาเป็นเรื่องโหมโรง ก่อนที่หนังสือจะได้รับการเปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2010

บทสัมภาษณ์เรื่องถุงยางอนามัย อยู่ในบทที่ 11 โดย ดร.ซีวัลด์ ทูลถามพระสันตะปาปาว่า "พระศาสนจักรคาทอลิกยังคงไม่เห็นด้วยกับการใช้ถุงยางอนามัย ใช่หรือไม่" 

พระสันตะปาปา ตรัสตอบว่า "แน่นอน พระศาสนจักรคาทอลิกไม่เคยมองว่า มัน(ถุงยางอนามัย)คือคำตอบที่ถูกต้องทางศีลธรรม แต่ทว่าในบางกรณีก็อาจเป็นข้อยกเว้น อาทิ ผู้ขายบริการทางเพศที่ใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ(เอชไอวี) รวมไปถึงรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนทำลงไป"

"กระนั้นก็ตาม พ่อมองว่า การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โดยใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ มันไม่ใช่การแสดงออกถึงความรักที่แท้จริง แต่มันเหมือนกับการเสพติดยา เพื่อตอบสนองความใคร่ของตนมากกว่า" ผู้นำชาวคาทอลิกทั่วโลก ระบุอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ หลังจาก "ลอสแซร์วาตอเร่ โรมาโน่" ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ออกมา สื่อมวลชนทั่วโลกก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทางบวกทันที ไม่ว่าจะเป็น อาทิ เอพี, เอเอฟพี, รอยเตอร์ส และ บีบีซี ที่นำเสนอข่าวเชิงว่า "ถึงจะเห็นด้วยแบบช้าไปหน่อย แต่ก็แสดงให้เห็นว่า พระสันตะปาปาทรงเปิดใจกว้างให้วิทยาศาสตร์เดินไปพร้อมหลักความเชื่ออยู่เสมอ"

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมวัยรุ่น ไม่ชอบใช้ ถุงยางอนามัย?


ทำไมวัยรุ่น ไม่ชอบใช้ ถุงยางอนามัย?
          ความจริง "คนนอก" อย่างเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ใครจะใส่ถุงยางอนามัยหรือไม่เวลาปฏิบัติกามกิจ เพราะเรื่องแบบนี้น่าจะมีแต่ "คนวงใน" เท่านั้นที่รู้ และรู้กันอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น
          แต่หากจะว่ากันตาม "ผลสำรวจ" ก็มีอยู่หลายชิ้นที่บอกว่า มีคนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่น หนุ่มสาวที่ไม่ชอบ "สวมถุงยางอนามัย" เวลามีเพศสัมพันธ์ ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า
          แต่วันนี้ เรามีผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งให้ "เหตุผล" น่าสนใจดีว่า ที่วัยรุ่นไม่ค่อยชอบใช้ถุงยางอนามัยนั้น ไม่ใช่เพราะประมาท ไม่ใส่ใจ หรือ หาซื้อไม่สะดวก อย่างที่เคยมีผลสำรวจออกมา แต่เป็นเรื่องของมุมมอง ความเชื่อ และ ทัศนคติในสังคม มากกว่า โดยมีวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์อายุต่ำกว่า 25 มองการใช้ถุงยางอนามัย เป็นเรื่องของการ "ไม่เชื่อใจ" กัน
          ขณะที่มีบางคนยังมองว่า การพก หรือ มีถุงยางอนามัยติดตัว แสดงว่า เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาแล้ว ซึ่งถ้าหากเป็นผู้ชาย นี่ก็อาจจะกลายเป็นการ "เพิ่มเรตติ้ง" ทำให้ผู้ชายดูเป็นผู้มีประสบการณ์ ช่ำชอง แต่ลองเป็นผู้หญิงดูสิ หากเจอเรื่องแบบนี้ ก็มีแต่เสียหาย... เสียหาย และ เสียหายลูกเดียว!!!
          นี่เป็นผลสำรวจจากทีมนักวิจัยของโรงเรียนการแพทย์ London School of Hygiene and Tropical Medicine ในอังกฤษที่ทำการสำรวจศึกษาพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น 250 คน แล้วก็พบปัจจัยคล้ายๆ กันนี้ในวัยรุ่นหลายประเทศ
          "การศึกษาของเรา ก็เพื่อรวบรวมปัจจัยที่น่าเป็นไปได้ต่างๆ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น และเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงมีเพศสัมพันธุ์ที่ไม่ปลอดภัย"" ดอกเตอร์ซิเซลีย์ มาร์ตัน และ เอลีเนอร์ คิง กล่าวในรายงานผลสำรวจ ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซ็ต
          ในผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งได้มาจากการเฝ้าเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2533-2547 รวมเวลาถึง 14 ปี นักวิชาการทั้งสอง ยังพบด้วยว่า วัยรุ่นไม่ว่าชาย หรือ หญิง จะ "ประเมิน" ว่า ตนควรจะใช้ถุงยางอนามัยหรือไม่ หรือ คู่ของตนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ โดยดูจาก บุคลิก ท่าทางของอีกฝ่ายว่า ดูดี ดูน่าไว้ใจแค่ไหน หรือไม่ก็ประเมินจาก ความสนิท รู้จักมักคุ้นกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ใช้ "วัด" ความน่าเชื่อถือในเรื่องทำนองนี้ไม่ได้เลย!!!
          คราวนี้ หากจะหันมาดูกันเรื่อง "ความเท่าเทียม" กันระหว่างชาย-หญิงในเรื่องเพศสัมพันธ์ ยังพบว่า ส่วนใหญ่ ผู้ชายจะมี "อิสระ" ทางเพศกว่าผู้หญิงแยะมาก นอกจากนั้น ในหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก และ แอฟริกาใต้สังคมยังมีทัศนคตินิยม ชมชื่นผู้ชายที่ "เก่งกล้า" เรื่องบนเตียง แต่ผู้หญิงควรจะเป็นฝ่ายให้ผู้ชาย "เข้าหา" มาจีบ และหากผู้หญิงพลาดพลั้ง เผลอทำเรื่อง "ไม่งาม" ขึ้นมา ก็จะถูกสังคมตราหน้าลงโทษ ตั้งแต่ระดับเบาะๆ อย่างถูกนินทา วิพากษ์ วิจารณ์ ไปกระทั่งถึงขั้นรุนแรงอย่างถูกครอบครัว "ฆ่าตาย" เพื่อล้างอาย อย่างเช่นในกรณีที่มีบางประเทศ ซึ่งผู้หญิงที่แอบลักลอบเสียตัวให้กับผู้ชาย ก็จะถูกครอบครัวลงมือฆ่า เพื่อล้างอาย รักษาศักดิ์ศรีของครอบครัว
          "เราคิดว่า ผลการศึกษาของเรา ได้ช่วยอธิบายให้รู้ว่า ทำไมโครงการรณรงค์ ต่อต้านโรคเอดส์หลายโครงการ ถึงใช้ไม่ได้ผล โครงการที่ให้แค่ข้อมูล และแจกถุงยางอนามัย โดยไม่ได้มีการพูดถึง ปัจจัยปัญหาสำคัญทางสังคม ก็ทำได้แค่กะเทาะบางส่วนของปัญหาเท่านั้น"

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปลดล็อคสมการถุงยางกับยืดอกพกถุง



 ในช่วง 2 เดือนมานี้ หลายคนคงมีโอกาสดูสปอตโฆษณา “ยืดอกพกถุง” ที่กินเวลาเพียง 15 วินาที เพราะสปอตนี้ได้เผยแพร่ในช่วงเวลาที่มีผู้ชมรายการโทรทัศน์จำนวนมาก สปอตโฆษณาชุดนี้มี 2 ชิ้น มีจุดประสงค์หลักคือต้องการสื่อสารกับผู้ชายให้รู้สึกสะดวกใจที่จะซื้อถุงยางอนามัย ชิ้นแรกฉายภาพเหตุการณ์ในร้านสะดวกซื้อ ที่มีตัวละครผู้ชายเข้าไปซื้อถุงยางอนามัย โดยมีความกล้าๆ กลัวๆ สายตาคนรอบข้าง แต่ในที่สุดก็คิดได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ตนคิดไปเองแท้ๆ คนรอบข้างในร้านนั้นไม่ได้สนใจเขาเลย โฆษณาอีกชิ้นฉายภาพเหตุการณ์ในสถานีอนามัย โดยตัวละครเด่นเป็นผู้ชายอีกเช่นกัน ชายผู้นี้เป็นชาวบ้านวัยกลางคน ไปขอรับถุงยางอนามัยจากเจ้าหน้าที่ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่า “ถุงยางอนามัย” เพราะกลัวว่าชาวบ้านที่นั่งรอรับบริการอยู่จะมองด้วยสายตาตำหนิ เขาใช้เวลาสื่อสารด้วยภาษามืออยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าและเอ่ยคำว่าถุงยางได้สำเร็จ และเมื่อหันไปดูคนรอบข้าง ก็ไม่พบสายตาตำหนิติเตียน เพียงแค่นี้ก็สื่อได้ว่าการมาขอรับถุงยางอนามัยแสนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องอายใคร 

         ในสังคมไทยซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน สปอตโฆษณาชุดนี้อาจโดนใจใครหลายคน ในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลใจให้กับคนบางกลุ่ม แต่ปฏิกิริยาที่ปรากฏเป็นข่าวกลับมีเพียงความรู้สึกด้านลบ เพราะประธานสมาพันธ์ประชาชนตรวจสอบรัฐไทย ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคประชากรไทย ออกมายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขให้ถอดโฆษณานี้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการยั่วยุทางเพศ กระตุ้นให้วัยรุ่นอยากจะมีเพศสัมพันธ์เมื่อได้ดูโฆษณาชิ้นนี้ อีกทั้งเสนอแนะให้มีการปรับเปลี่ยนการโฆษณาไปในทางเสริมสร้างจิตสำนึกเชิงคุณธรรมแทน ทำเอาหลายคนมึนงงไปเหมือนกันว่าทำไมนักการเมืองจึงกระตือรือร้นออกมายึดพื้นที่สื่อเพื่อนำเสนอความกังวลใจของตนหลังจากโฆษณาแพร่ภาพไปแล้วถึง 2 เดือน

         เพื่อสะท้อนความเห็นที่รอบด้านไปสู่สาธารณะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ จึงได้จัดงานสานเสวนา “ยืดอกพกถุงกับวัยรุ่นไทย” เพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการแสดงความเห็นเรื่องเพศ จึงมีทั้งมุมมองจากวัยรุ่น ครูที่สอนเพศศึกษา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม คนทำงานประเด็นผู้หญิง คนทำงานปกป้องเด็กและเยาวชน และผู้ผลิตโฆษณาชิ้นนี้ การเสวนาเป็นไปอย่างน่าสนใจ เพราะมีหลายแง่มุมให้ได้คิดและติดตาม

         จากมุมมองของวัยรุ่น พวกเขาพูดตรงกันว่า เมื่อดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว ไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากจะไปมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด หรือพูดง่ายๆ ก็คือถุงยางอนามัยไม่ใช่สื่อกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศสำหรับพวกเขา อย่างที่ผู้ใหญ่คิด หรืออาจมีความหมายแฝงว่าพวกเขาไม่ได้เกิดอารมณ์เพศง่ายดายเพียงแค่เห็นถุงยางอนามัยเท่านั้น วัยรุ่นบางคนมีความเห็นว่าวัยรุ่นพร้อมจะพกถุงยางอนามัยเพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อและการท้องไม่พร้อมอยู่แล้ว แต่ยังกลัวสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่รับไม่ได้หากรู้ว่าลูกหลานพกถุงยาง ในขณะที่ วัยรุ่นหลายคนมองว่าโฆษณานี้ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจที่จะพกถุงยางมากขึ้น เพราะโฆษณาสื่อว่าการพกถุงยางคือการมีสำนึกรับผิดชอบในเรื่องเพศ

         อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่บางกลุ่มมองว่า “ยืดอกพกถุง” เป็นโฆษณาที่แรงเกินไป ยั่วยุให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ง่ายและเร็วขึ้น ในขณะที่คนทำงานด้านเพศศึกษาในเยาวชน ก็มีแง่คิดที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันมีโฆษณาหลายชิ้นที่แรงกว่านี้ เพราะเนื้อหามุ่งไปที่การเตรียมวัยรุ่นให้พร้อมที่จะหาคู่ เช่น โฆษณาผลิตภัณฑ์หน้าใส หน้าขาว ทั้งหลายที่เน้นสื่อสารให้วัยรุ่นหญิงดูแลเนื้อตัวร่างกายให้มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีโฆษณาที่ดูถูกศักยภาพผู้หญิง เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบางยี่ห้อที่ใช้แล้ว สามีจะกลับมาภายใน 7 วัน ซึ่งสะท้อนว่าคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ความงามภายนอก ประเภทสวยใสแต่ไร้สมอง นอกจากนั้น ยังมีโฆษณาที่เปรียบผู้หญิงกับ “แรด” ที่วิ่งเข้าหาผู้ชายที่ใช้โรลออนระงับกลิ่นกายยี่ห้อหนึ่ง และผลิตภัณฑ์เสริมทรวงอก ที่เปรียบเทียบผู้หญิงกับแผ่นไม้กระดาน ทำให้ผู้หญิงหลายคนหมดความมั่นใจในตัวเอง หันไปพึ่งศัลยกรรมตกแต่งจนเป็นข่าวเสียชีวิตก็หลายครั้ง และอีกมากมายที่กล่าวไม่หมดในพื้นที่แค่นี้ แต่ประเด็นน่าสนใจที่พูดในวงสานเสวนาคือ เหตุใดจึงไม่มีการตั้งคำถามกับสปอตโฆษณาเหล่านี้

         ส่วนคุณครูที่มีประสบการณ์สอนเพศศึกษามานานสะท้อนประสบการณ์ว่าเคยรู้สึกสับสนเช่นกัน เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลงมือสอนเพศศึกษาอย่างจริงจัง เพราะได้รับรู้และเผชิญกับความจริงที่ว่าวัยรุ่นจำนวนมากเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพทางเพศ โดยเฉพาะปัญหาการติดเชื้อเอชไอวี และการตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ด้วยเหตุที่ไม่มีข้อมูลที่รอบด้าน หรือได้รับข้อมูลเมื่อสายเกินไป การที่คุณครูท่านนี้ ไม่มัวแต่กังวล แต่ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้ได้พบความจริงชุดหนึ่งว่าวัยรุ่นมีศักยภาพที่จะคิดและเลือกทางที่เหมาะสมกับตนเองได้ หากได้รับข้อมูลที่รอบด้าน

         ในขณะที่ฟากผู้ผลิตสปอตโฆษณากลับแปลกใจที่ถูกต่อต้านว่ายั่วยุให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ เพราะโฆษณาชุดนี้ตั้งใจสื่อสารให้เป็นกลางๆ ไม่ได้มีภาพที่สื่อไปในทางเชิญชวน และตัวละครหลักก็ไม่ใช่วัยรุ่น สิ่งที่คิดไว้ว่าอาจถูกต่อต้านและถือเป็นความท้าทายคือ การพยายามสร้างความคิดใหม่ว่า การพกถุงยางคือการทำดี ภายใต้แนวคิด “ทำดีแบบนี้ไม่ต้องอายใคร” และการนำเสนอภาพตัวละครที่แสดงความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งดีๆ โดยการยืดอกอย่างมั่นใจ การที่ผู้ผลิตโฆษณาไม่ถูกต่อต้านในแง่นี้ อาจเป็นเพราะสังคมไทยไม่เข้าใจในสารที่พยายามจะสื่อ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การทำดีในสังคมไทยถูกมองด้วยสายตาที่คับแคบว่าเป็นเรื่องของการทำบุญกับพระหรือวัดเท่านั้น เพิ่งจะมาในช่วงไม่กี่ปีนี้ที่เริ่มขยายมาถึงการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ แต่ก็มักเป็นการสงเคราะห์เสียส่วนมาก สังคมไทยจึงไปไม่ถึงไหน ไม่สามารถยกระดับเป็นสังคมที่ผู้คนสามารถเป็นผู้ให้และผู้รับได้อย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะในสูตรสำเร็จของการสงเคราะห์ยังจำเป็นต้องมีฝ่ายที่มีสถานภาพเหนือกว่าและฝ่ายที่มีสถานภาพด้อยกว่า

         โดยภาพรวมแล้ว ผู้ผลิตสปอตโฆษณาชุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างน้อยใน 2 จุด คือ สามารถดึงผู้คนในสังคมให้กระโจนเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับเรื่องเพศ และยังค่อยๆ คลี่คลายถอดสมการถุงยางที่ถูกใส่สูตรเอาไว้ว่า ถุงยางอนามัยคู่กับการสำส่อนทางเพศ นอกจากนี้ ในบริบทของสามีภรรยาหรือคู่รัก ถุงยางก็ถูกจับคู่ให้กับความไม่ไว้วางใจหรือการนอกใจ สปอตยืดอกพกถุงจึงเป็นก้าวแรกของการถอดสมการถุงยางว่าแท้ที่จริงคำตอบก็คือ ถุงยางเท่ากับสำนึกรับผิดชอบในเรื่องเพศ ยิ่งกว่านั้น สปอตนี้ยังพยายามถอดสมการการทำความดีที่ถูกจับคู่กับพระหรือการสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส มาเป็นการทำดีเท่ากับการเคารพสิทธิในสุขภาพทางเพศของบุคคลอีกด้วย ในจุดนี้ กระทรวงวัฒนธรรมควรจะรีบฉกฉวยโอกาสสานต่องาน หากยอมรับว่าการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นวัฒนธรรมไทยเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โรนัลดินโญ่ กับบริษัทถุงยางอนามัย


มีนักฟุตบอลระดับโลกหลายคนที่มีธุรกิจเสริมมากมายซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็หนีไม่พ้นน้ำหอมดับกลิ่นกาย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหรือชุดชั้นในชาย แต่ทว่าล่าสุด โรนัลดินโญ่ สุดยอดซุป’ตาวงการลูกหนังโลกชาวบราซิล ก็สร้างกระแสความฮือฮาด้วยการผุดไอเดียลงทุนทำธุรกิจผลิตอุปกรณ์เสริมรักทำถุงยางอนามัยออกจำหน่าย ภายใต้แบรนด์ “SEX FREE” เป็นของตนเองขึ้นที่ประเทศบราซิลเรียบร้อย โดยแพ็คเกจก็ถูกออกแบบเป็นลายเสื้อทีมเหย้าของ แอตเลติโก้ มิไนโร ทีมที่ โรนัลดินโญ่ สังกัดอยู่ในตอนนี้นั่นเอง

เดวิด เบคแฮม ยอดซุป’ตาลูกหนังชาวอังกฤษที่เพิ่งเดินทางไปเยือนประเทศจีนได้ไม่กี่วันก็มีแบรนด์ถุงยางเป็นของตัวเองซะแล้วภายใต้ชื่อ “LONG LOVE” ซะอย่างงั้น

ถุงยางอนามัยป้องกันการข่มขืน


โดยผู้คิดค้นชื่อ แพทย์หญิง ซอนเน็ต เอห์เล่อร์ จากแอฟริกาใต้ ถุงยางอนามัยป้องกันการถูกข่มขืน นี้จะมีลักษณะคือมีเขี้ยวตะขอ คล้ายหนาม เป็นแนวที่จะทำร้ายเจ้าโลกของผู้ชายได้ ซึ่งไอเดียการผลิตถุงยางป้องกันการข่มขืนนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2005 และตอนนี้ได้จำหน่ายให้กับผู้หญิงในแอฟริกาใต้ ในช่วงฟุตบอลโลกด้วย 
รายงานยังบอกอีกด้วยว่า แพทย์หญิงซอนเน็ต ถึงขนาดลงทุนขายบ้าน ขายรถ เพื่อหาเงินมาพัฒนา ถุงยางอนามัยป้องกันข่มขืน โดยเฉพาะ สำหรับประสิทธิภาพของมันคือ ถ้าผู้ชายคนไหนจะไปข่มขืนผู้หญิงที่ใส่ถุงยางป้องกันนี้ จะเจ็บปวดมาก ปัสสาวะก็ไม่ได้ เดินก็ไม่ไหว ทำให้ตำรวจสามารถจับกุมได้ทันที
ถุงยางป้องกันการข่มขืน ที่กล่าวนี้ มีส่วนคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง “The teeth” ซึ่ง มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กสาวที่มีอวัยวะเพศมีเขี้ยว สามารถป้องกันภัยผู้ชายลวนลามทางเพศได้ แต่จะไม่ทำร้ายสำหรับผู้ชายที่เธอรัก

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ท้อง ได้ไงเมื่อใช้ ถุงยาง แล้ว



 สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ ถุงยางอนามัย ย่อมนํามาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวง ที่หลายๆ คนเคยประสพมาแล้ว..ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสําคัญในการคุมกําเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอก
2. การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้ (คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม (กรณีให้สาวใส่ให้)
3. การนํากลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นาน จนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นํามาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด (หกปากถ้ำ)
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
การเลือกถุงยางอนามัย

     ก็คงต้องดูความมาตรฐานของถุงยางครับ สำหรับเรื่องมาตรฐานของถุงยางแต่ละยี่ห้อนั้น คงบอกยากครับ แต่ให้ลองสังเกตดูที่กล่องว่ามีเครื่องหมายรับรองคุณภาพมั้ย ถ้ามีก็น่าจะใช้ได้ ยิ่งยี่ห้อที่เรารู้จักก็น่าจะดีกว่าครับ ส่วนขนาดนั้น ถุงยางอนามัยจะมีหลายขนาด ไม่ใช้ Free Size แบบที่หลายคนเช้าใจนะครับ  ในเมืองไทยที่เห็นบ่อยๆจะมีขนาด 49 มม.และ 52 มม.ก็คงต้องเลือกให้พอดีกับ Size ของเราครับ  บางชนิดอาจใส่สารฆ่าเชื้ออสุจิ เข้าไปด้วย แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคเอดส์เพิ่มขึ้น แบบที่บางคนเข้าใจครับ ไว้เพิ่มคุมกำเนิดที่ดีขึ้นเท่านั้นครับ
 การใช้งาน การใส่นั้น ต้องใส่ตอนที่อวัยวะเพศแข็งตัวครับ และสวมโดยการครอบถุงยางไว้กับปลายอวัยวะเพศ บีบปลายถุงยางที่เป็นกระเปาะเพื่อไม่ให้มีอากาศเข้าไป จากนั้นก็ค่อยๆรูดถุงยางลงมาครับ จริงๆ ตรงนี้ในซองถุงยางจะมีบอกไว้แล้วครับ
 หลังการใช้  จะต้องถอดถุงยางออกทันที โดยต้องระวังไม่ให้น้ำอสุจิกระเด็น หรือเลอะช่องคลอด เอาออกขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัว ไม่ควรทิ้งไว้ในช่องคลอดจนอ่อนตัว เพราะ อาจทำให้น้ำอสุจิรั่วออกมาได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เอดส์และการใช้ถุงยางอนามัย

เอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือไวรัสเอดส์ที่ติดต่อหลักทางเพศสัมพันธ์และไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้ในระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ดังนั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดติดเชื้อเอดส์จากรูปร่างภายนอก คนที่ดูปกติก็อาจมีเชื้อเอดส์อยู่ในร่างกายได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจเลือด จึงจะทราบผลได้แน่นอน รายงานทั่วโลกพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์มากกว่า 30 ล้านคน ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์แล้วมากกว่า 3 แสนคน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 1 แสนคน ในแต่ละวันมีผู้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มวันละประมาณ 15-20 คน ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่ทราบผลการตรวจเลือดจึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ไม่ทราบผลตรวจเลือด เนื่องจากดังที่กล่าวแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดติดเชื้อเอดส์ได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เช่น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หากผิดพลาดเป็นเอดส์แล้ว จะไม่มีวันรักษาให้หายได้ จำเป็นต้องกินยากดเชื้อไวรัสนี้ไปตลอดชีวิต หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกวิธี ข้อสำคัญ คือ ไม่ควรดื่มสุราหรือของมีนเมาหรือใช้ยาเสพติด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้มีสติสัมปชัญญะลดลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้โดยเฉพาะเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยปกติจะไม่แตกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้น ไม่บีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศออกก่อนสวม, ถุงยางอนามัยหมดอายุ, เก็บถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น โดนความร้อน (ตากแดด หรือเก็บไว้ในรถ) เกิดรอยพับ (เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์), การใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน เช่น โลชั่น แวกส์ วาสลีน สารเหล่านนี้ทำให้ยางอ่อนนุ่มฉีกขาดง่าย, การใช้ปากฉีกซองถุงยาง เพราะฟันอาจพลาดไปกัดถูกถุงยางฉีกขาดได้ และการใช้ถุงยางอนามัยขนาดไม่เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศของตน
คาถาป้องกันเอดส์ “3 ไม่” คือ
1. ไม่ สำส่อน มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อม
2. ไม่ หลายใจ มีเพศสัมพันธ์กับสามีหรือภรรยาตนเท่านั้น
3. ไม่ ประมาท ที่จะใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ถ้าทำไม่ได้ ----> “ไม่รอด”