www.zeedcondom.com

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และสนุกง่ายๆ

 หลายคู่ หรือบางคู่อาจจะมีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่อง ถุงยางจะมาทำให้อรรถรสในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงหรือไม่มีความสุข ผมก็เลยจะมาเสนอวิธีใช้ถุงยาง ให้เกิดผลดีมากที่สุด และมีความสุขมากที่สุด
ขั้นตอนแรกนะครับ เริ่มจากที่เราต้องใช้ Viva Cream ทาเข้าไปที่คริตอริส และระหว่างที่รอยาออกฤทธิ์
ก็ให้ฝ่ายหญิง ช่วยเราใส่ถุงยางโดยใช้ปาก ห้ามใช้มือช่วยเด็ดขาดนะครับ มันจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยถุงยางที่ใช้ ผมแนะนำให้เป็นแบบร้อน หรือมีปุ่มด้วยยิ่งดี เพราะเป็นการกระตู้นความรู้สึกของฝ่ายหญิงขึ้นไปอีกเท่า หนึ่งนะครับ

ขั้นตอนต่อมานะครับคุณผู้หญิงที่สวมถุงยางให้คุณผู้ชายเรียบร้อยแล้วอย่าพึ่งรีบให้คุณผู้ชายสอดใส่เข้ามา พยายาม ให้เกิดอารมณ์ร่วมด้วยกันให้มากที่สุดก่อนถึงค่อยให้สอดใส่เข้ามา และเพื่อเป็นการให้ Viva Cream ที่ทาไปออกฤทธิ์ เมื่อทั้งคู่พร้อมแล้ว ค่อยเริ่มสอดใส่ครับ หลังจากเสร็จกิจ อย่าคานะครับ เพราะอาจจะทำให้ถุงยางค้างอยู่ข้างในได้ นำออกมาและทิ้งขยะให้เรียบร้อยครับ

เพื่อนๆที่นำไปวิธีใช้ถุงยางแบบนี้ไปใช้ เป็นยังไงก็มาบอกเล่ากันได้นะครับ ^^ 

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี ตามทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริง พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอก
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอด การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นาน การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด
3. การแตกของถุงยางอนามัย
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย

ขั้นตอนการใช้ถุงยางอนามัยมีดังนี้
1. บรรจงฉีกซองอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบออกจากซองอย่างนิ่มนวล ระวังอย่าให้ถุงยางอนามัยสัมผัสกับเล็บหรือของประดับที่มีคม
2. ถุงยางอนามัยบรรจุในซองในลักษณะม้วนเป็นรูปวงแหวน ให้รอยม้วนอยู่ด้านนอก คลี่ถุงยางออกมาสัก 1 - 2 เซนติเมตร
3. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบกระเปาะ(ติ่งตรงปลาย)ไล่ลมออก น้ำมาครอบปลายอวัยวะเพศ (ถ้าหนังหุ้มยาว ต้องรูดขึ้นไปให้พ้นปลายหัว)
4. ใช้อีกมือรูดถุงยางอนามัยขึ้นไปจนถึงโคน (อีกมือยังคงบีบปลายติ่งอยู่)
5. ถ้าใส่ถูกต้อง ตรงติ่งต้องแบนไม่มีลมอยู่ภายใน (ถ้าเป็นแบบปลายมา ต้องเหลือปลายถุงยางไว้สัก หนึ่งเซ็นติเมตร)ทั้งนี้เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยแตก
6. ถ้าความหล่อลื่นไม่พอ ก็สามารถทาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมได้ แต่ต้องหลังจากสวมใส่แล้ว และสารหล่อลื่นที่ใช้ ต้องเป็นสารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ หรือซิลิโคน เช่น ky - jelly อย่ามักง่าย ใช้วาสลินโดยเด็ดขาด เพราะวาสลินเป็นเจลที่มี petroleum เป็นส่วนประกอบ
7. หลังจากเสร็จกิจ ห้ามรอดูผลงาน ห้ามแช่ ต้องรีบถอย ถอนสมอโดยเร็ว ก่อนที่นกเขาจะหลับ ไม่งั้นถุงยางอนามัยจะหลุดค้างคาในถ้ำ
8. ตอนถอนสมอ มือต้องจับขอบปลายส่วนเปิดไว้ด้วย ไม่งั้นถุงยางอนามัยอาจถูกหนีบออกแต่ตัว แต่เสื้อหลุดได้ และเมื่อออกมาแล้ว ต้องระมัดระวังมืออย่าไปโดนด้านนอกของถุงยางอนามัยที่มีสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงอยู่ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (กรณีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา)
9. เมื่อถอดออกแล้ว จะทดสอบรอยรั่วได้โดยเอาไปรองน้ำจากก๊อกใส่ถุงยางที่ใช้แล้ว ถ้ารั่วก็จะเห็นได้

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้กับ ถุงยางอนามัย ของผู้ชาย!!

จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวัง

           ทั้งนี้ พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้

           แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางอนามัยเป็นเครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวัง

           รวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่นๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า condom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น

ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ

           1. การผสม
           2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
           3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
           4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
           5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
           6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย

           ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้

           อย่างไรก็ตาม แม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลาก

           เมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย

ชนิดของถุงยางอนามัย

           ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ
การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่นๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

ประเภทของถุงยางอนามัย

           ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ 56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ 52 มม.

           จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย

http://www.zeedcondom.com/

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ถุงยางอนามัย ดูเร็กซ์

ถุงยางอนามัยอนามัยเรื่องลี้ลับของ ดูเร็กซ์
ตลาดถุงยางอนามัยเป็นเรื่องลี้ลับที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก แม้ว่าในปัจจุบันการแข่งขันจะเริ่มเข้มข้น โดยมีหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น แต่ถึงที่สุด เจ้าตลาดอย่างดูเร็กซ์ก็ยังครอบครองตลาดเป็นรายใหญ่

ที่น่าสนใจคือ จากเดิมที่คิงเท็กและดูเร็กซ์จะเป็นคู่แข่งกัน แต่ปัจจุบันคิงเท็กกลับกลายมาเป็น ซับแบรนด์ให้กับดูเร็กซ์ไปโดยสมบูรณ์

แต่ดั้งเดิมคิงเท็กเป็นแบรนด์ในประเทศ ผลิตโดยบริษัทรอยัลอินดัสตรี ตั้งแต่ปี 2514 และเป็นเจ้าตลาดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งในปี 2534 ลอนดอนอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางพารารายใหญ่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยการร่วมทุนกับบริษัทรอยัลอินดัสตรี และเริ่มวางจำหน่าย ดูเร็กซ์” แต่การทำตลาดก็แยกจากกันกับคิงเท็ก

จนเมื่อ ปีที่ผ่านมาลอนดอนกรุ๊ปก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทรอยัลอินดัสตรี และการผนวกแบรนด์ทั้งสองเข้าด้วยกันก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา

ทั้งดูเร็กซ์และคิงเท็กจึงตกอยู่ภายใต้การทำตลาดของบริษัทเดียวคือ บริษัทลอนดอนรอยัล คอนซูเมอร์โปรดักท์ส์ (ประเทศไทยจำกัด โดยสมบูรณ์ และเมื่อ สิงหาคมที่ผ่านมา ผลจากการผนวกกิจการระหว่างบริษัทด้านเวชภัณฑ์ในอังกฤษ ทำให้บริษัทลอนดอนรอยัลฯเปลี่ยนชื่อไปเป็นบริษัทเอสเอสแอล เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทยจำกัดซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นนอกเหนือจากดูเร็กซ์ เช่น รองเท้า Scholl,ไกร๊ปวอเตอร์ และผ้ายืดรัดข้อ “Tubigrip”เป็นต้น

โดยเฉพาะการทำตลาดถุงยางอนามัยนั้น สงวน สรวยจิรวัฒน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ (สินค้าอุปโภค-บริโภค)กล่าวว่า ดูเร็กซ์ครองส่วนแบ่งอยู่ถึง 70% จากตลาดรวม 350 ล้าน

ก่อนหน้านี้ดูเร็กซ์มีซับแบรนด์อยู่แล้วหลากหลาย แต่การเข้ามาของคิงเท็กทำให้การพัฒนาตลาดของดูเร็กซ์ทำได้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

โดยคิงเท็กนั้นถูกวางไว้ที่เป็นถุงยางอนามัยในตลาดมาตรฐาน มีผู้นิยมซื้อใช้สูงสุด ถ้าเทียบสัดส่วนแล้วคิงเท็กอาจจจะมากว่าดูเร็กทุกซับแบรนด์ ประมาณ 40 ต่อ 30 แต่ในแง่มูลค่าแล้วคิงเท็กจะน้อยกว่าเพราะคิงเท็กมีราคาเพียง 30 บาท ขณะที่ดูเร็กซ์อื่นๆจะสูงกว่า บางแบรนด์ราคา 50 บาท

การทำตลาดในอดีตจะแยกกันโดยชัดเจน โดยคิงเท็กถูกวางไว้เป็นตลาดระดับกลาง และดูเร็กซ์เป็นตลาดพรีเมียม

ปัจจัยสำคัญของการดึงคิงเท็กซ์มาเป็นซับแบรนด์นั้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้พัฒนาคุณภาพของคิงเท็กซ์ให้ดียิ่งขึ้น การทำลักษณะนี้เป็นเครื่องยืนยันในคุณภาพ เพราะโดยชื่อของดูเร็กซ์นั้นเป็นที่ยอมรับ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น ทำให้คิงเท็กมีโอกาสขยายตลาดไปได้มากขึ้น

“ คิงเท็กก็มีภาพพจน์เป็นชายหนุ่มบึกบึนเหมือนเดิม แต่ดูทันสมัยขึ้นสงวนกล่าว

ปัจจุบันดูเร็กซ์มีซับแบรนด์อยู่ถึง ตัว ซึ่งสงวนย้ำว่า เป็นแบรนด์เดียวที่สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ครบถ้วนสมบูรณ์และเจาะตลาดได้ครบทุกเซ็กเม้นท์ โดยทั้ง ซับแบรนด์นั้นประกอบด้วย

เฟเธอร์ไลท์ บางปานกลาง และมีสารโนน็อกซินอล ฆ่าเชื้ออสุจิ,ซีเล็กท์ มี กลิ่นใน กล่องประกอบด้วยชะเอม,กล้วยและส้ม,รุ่นเอ็น 11 บางและมีสารบี 4 และสารโมน็อกซินอล,สตรอเบอร์รี่ ,เอ็กไซตา ผิวไม่เรียบ,แคร์เรส ผิวเรียบ บาง,คอนทูร่า ผิวไม่เรียบ และคิงเท็กมาตรฐาน ผิวเรียบ

ในตลาด 350 ล้าน มีอัตราเติบโตประมาณ 3-5% โดยคนไทยมีอัตราการบริโภค 1.5-2 ชิ้นต่อคนต่อปี ขณะที่ ญี่ปุ่นมีอัตราการบริโภคสูงถึง ชิ้นต่อคนต่อปี ดังนั้นสงวนมองว่า ตลาดน่าจะขยายเพิ่มขึ้นไปได้อีกมาก

โดยที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคถุงยางอนามัยของคนไทยแบ่งเป็น การใช้เพื่อเพศสัมพันธ์ในเชิงพาณิชย์หรือ คอมเมอร์เชียลเซ็กซ์ ประมาณ 85% และเพื่อการคุมกำเนิดของคู่สามีภรรยา 15%

แต่พฤติกรรมการบริโภคถุงยางอนามัยของคนไทยมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไป คือคอมเมอร์เชียลเซ็กซ์ 50% แคชชวลเซ็กซ์ (Casaul Sex) 30% และเพื่อคุมกำเนิด 20%

สงวนอธิบายว่า คอมเมอร์เชียลเซ็กซ์มีแนวโน้มลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่ที่เพิ่มขึ้นมากคือ แคชชวลเซ็กซ์หรือ เพศสัมพันธ์นอกสมรส” ซึ่งเกิดขึ้นมากในหมู่วัยรุ่น

เราห่วงใยในสถานการณ์นี้ เพราะวัยรุ่นเริ่มมีทัศนคติในเรื่องเซ็กซ์กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมไม่ได้มองว่าดีหรือไม่ดี ในฐานะผู้ประกอบต้องหาทางรองรับ ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยการให้ความรู้แก่วัยรุ่น

สงวนกล่าวว่า ดูเร็กซ์เป็นค่ายที่พยายามให้ความรู้ในเรื่องเพศศึกษาแก่วัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง และให้ทัศนคติที่ดีแก่พวกเขาไปพร้อมๆกัน ซึ่งถือเป็นภารกิจของบริษัทที่พึงกระทำต่อสังคม

ในแง่การแข่งขันเชิงการตลาดนั้น สงวนกล่าวว่า ผู้บริโภคมีแบรนด์ลอยัลตี้สูงมาก แม้ว่าจะมีแบรนด์ใหม่ๆเข้ามา ผู้บริโภคอาจจะอยากลอง แต่ถึงที่สุดก็จะกลับมาสู่แบรนด์ที่เขาเชื่อมั่น เพราะการใช้ถุงยางอนามัยหมายถึง ความมั่นใจความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องถุงยางอนามัย อะไรก็ได้ แบรนด์ไหนก็ได้ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพและความมั่นใจ

ในตลาดมีคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันที่น่าสนใจคือ แบรนด์ แฟร์,เพลชเชอร์,ดูโอ,วันทัช,ยูโร,ฟูตาริ,บอร์ดี้การ์ด,อพอลโล เป็นต้น แต่คู่แข่งจะมีลักษณะเจาะเป็นเซ็กเม้นท์ๆไป เช่น เจาะตลาดถุงยางอนามัยประเภทกลิ่นรส ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเพลชเชอร์ ที่เน้นไปที่กลิ่นรสชัดเจน เช่น กลิ่นกล้วยหอม,กลิ่นสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น

ในเซ็กเม้นท์นี้ ดูเร็กซ์มีซีเล็กท์ ซึ่งในกล่องเดียวบรรจุ กลิ่นรสคือ ส้ม,กล้วยหอมและชะเอม

ชะเอม” ฟังดูค่อนข้างจะแปลกมาก เพราะไม่นึกว่าใครจะนำรสชะเอมมาเป็นถุงยางอนามัย สงวนอธิบายว่า เป็นถุงยางอนามัยที่มีกลิ่นรสคล้ายเมนทอล และโดยรวมซีเล็กท์ได้รับความนิยมมากในหมู่คนที่ต้องการความแปลกใหม่

ขณะที่หลายแบรนด์พยายามเจาะตลาดคิงเท็ก เพราะเป็นตลาดถุงยางอนามัยประเภทมาตรฐาน ราคาไม่แพง ตลาดมีขนาดใหญ่ แต่คิงเท็กก็ยังเป็นผู้นำในตลาดนี้อย่างเหนียวแน่น

                นอกเหนือจากถุงยางอนามัยประเภทมาตรฐานและกลิ่นรสแล้ว ยังมีอีกประเภทคือ ฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งดูเร็กซ์จะมี N11 และตลาดประเภทพรีเมียม ซึ่งดูเร็กซ์จะมีหลากหลาย เช่น แคร์เรส ซึ่งบางเป็นพิเศษ เป็นต้น

                สงวนทำตลาดถุงยางอนามัยมาไม่ต่ำกว่า ปี ตั้งแต่อยู่ที่อินช์เคปและมีโอกาสทำตลาดนี้มาโดยตลอด แม้ปัจจุบันอินช์เคปหรือในชื่อบอร์เนียวก็ยังรับจัดจำหน่ายให้ดูเร็กซ์ เพียงแต่สงวนย้ายมานั่งอยู่ที่เอสเอสแอลฯแล้ว

                สงวนจบมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีฯลาดกระบัง แต่ไปจากเอ็มบีเอและการตลาดจากสหรัฐอเมริกา

                สงวนเป็น marketeer คนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับวงการถุงยางอนามัยมาไม่น้อยทีเดียว