www.zeedcondom.com

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปิดตำนานถุงยางพันปี

เปิดตำนานถุงยางพันปี กรรมวิธีลับ...สุดยอด!!!
ทุกครั้งที่ใช้ถุงยางอนามัย เคยคิดบ้างไหมว่า วัตถุชิ้นเล็กๆ ที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันโรคและเป็นเกราะกำบังสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรนั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร เพราะกว่าที่จะกลายมาเป็นถุงยางอนามัยนั้น เส้นทางการผลิตล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความยุ่งยากและมีความลับซุ กซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
      
"ถุงยางอนามัย" ไม่ใช่ของแปลกใหม่แห่งศควรรษที่ 20 ประวัติความเป็นมาสามารถนับย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว        หากถามว่า รู้จัก "ถุงยางอนามัย"หรือไม่
       ร้อยทั้งร้อยคงต้องตอบว่า “รู้จัก” ยิ่งเป็นสุภาพบุรุษด้วยแล้วละก็ย่อมต้องเคยได้ใช้กันบ้างไม่มาก ก็น้อย ยิ่งในยุคที่โรคเอดส์ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คร่าชีวิตพลเมืองโ ลกไปเป็นจำนวนมหาศาล ถุงยางอนามัยยิ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุรุษเพศที่ชื่นชอบในก ามกรีฑาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่สัดส่วนการใช้ถุงยางในธุรกิจบริการทางเพศยังคงมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 70%
      
       “ถุงยางอนามัย” ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปี บอกไปแล้วอย่าเพิ่งตกใจวิธีการคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดแบบหนึ่งนี้ มีประวัติความเป็นมาที่สามารถนับย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว
      
       เท่าที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ถุงยางอนามัยปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกในราว 807-677 ปีก่อนคริสตกาล โดยชายชาวอียิปต์ในสมัยโบราณสวมปลอกประเภทนี้เอาไว้เพื่อป้องกั นการติดเชื้อ การบาดเจ็บและการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
      
       จากนั้นถุงยางอนามัยก็ได้มีการวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้ามาช่วยปรับปรุงการผลิตถุงยางอนามัยให้มีความทันสมัยขึ้น กว่า ที่บรรพบุรุษเคยใช้เป็นอย่างมาก
      
         
       เทคโนโลยีการผลิตเหล่านี้ ผู้ผลิตแต่ละค่ายต่างหวงแหนและถือเป็น "ความลับทางการค้าขั้นสุดยอด" ที่ต้องปกปิดเอาไว้ไม่ให้รั่วไหลออกไปสู่ภายนอกโดยเด็ดขาด ชนิดที่เรียกว่ายิ่งกว่าไข่ในหินเลยก็คงจะว่าได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจนำไปสู่การลอกเลียน แบบและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับทางบริษัทได้
      
       ด้วยเหตุนี้ ระเบียบปฏิบัติในการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตถุงยางอนามัยแต่ละแห่ง จึงถูกกำหนดเอาไว้อย่างรัดกุม เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองความเป็นเจ้าตลาดของสินค้าประเภทนี้ ต้องทำเรื่องขออนุญาตไปที่บริษัทแม่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ล่วงหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ก่อนที่บุคคลภายนอกจะได้รับการอนุมัติให้เข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยี การผลิตถุงยางอนามัยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเงื่อนไขที่ว่าห้ามถ่ายรูปภายในโรงงานเป็นอันขาด
      
       จริงๆ แล้วในทุกขั้นตอนการผลิตล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความลับตลอด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสูตรน้ำยางที่คิดค้นและพัฒนามา หรือแนวองศาในการเอียงของแท่งแก้ว เรื่องภาพถ่ายจึงต้องควบคุมอย่างเข้มงวด เนื่องจากถ้าภาพถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ผลิตรายอื่นที่มีปัญหาและยังแก้ไขไม่ตก เขาเห็นภาพเพียงแค่นิดเดียว เขาก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ในทันที
      
       นอกจากความลับที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว กระบวนการผลิตของถุงยางอนามัยยังเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน มิหนำซ้ำยังต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นกว่าที่ถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นจะหลุดออกมาให้เราๆ ท่านๆ ได้ใช้นั้น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่เพียงแค่เอาแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปจุ่มลงไปในน้ำยาง อบให้แห้งก็สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว
      
       การเดินทางของถุงยางหนึ่งอัน
      
       กระบวนการผลิตถุงยางอนามัยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในสวนยางพารา ก่อนที่จะมีการส่งยางดิบเข้ามาที่โรงงาน จะต้องมีการนำตัวอย่างมาตรวจสอบเสียก่อน ถ้าตัวอย่างดังกล่าวไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็จะไม่รับยางในครั้งการผลิตนั้นเข้าสู่โรงงาน
      
       กรณีที่ผ่านการตรวจสอบจะมีการกำหนดรหัสประจำครั้งซึ่งจะเป็นรหั สประจำตัวที่ใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต จากนั้นส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นสูตรจะถูกนำมาผสมกับน้ำยางดิบ เพื่อให้ยางมีความคงตัวและทนทาน หลังจากที่ใช้เวลาบ่มตัวไม่น้อยกว่า 10 วันเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่วนผสมนี้จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการผลิตต่อไป
 
ถัดมาคือขั้นตอนการ "จุ่มขึ้นรูป" ขั้นตอนนี้จะต้องทำภายในห้องปลอดฝุ่นละออง ซึ่ง ติดตั้งระบบกรองอากาศไฟฟ้าสถิต โดยแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปที่เรียงต่อกันเป็นแถวจะค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจุ่มในถังที่มีส่วนผสมน้ำยางธรรมชาติที่ต้องควบคุม อุณหภูมิให้เหมาะสม
      
       แท่งแก้วแต่ละแท่งจะหมุนไปรอบๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ส่วนผสมนี้กระจายตัวติดแท่งแก้วด้วยความหนาเท่าๆ กันทั้งชิ้น จากนั้นแท่งแก้วจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าตู้อบอินฟราเรดเพื่อให้น้ำ ยางแห้ง
      
       เมื่อออกจากตู้อบ แท่งแก้วจะต้องจุ่มน้ำยางอีกเป็นครั้งที่สอง เพื่อให้ถุงยางอนามัย มีความหนาและทนทานเพียงพอ และเมื่ออบแห้งครั้งที่สองแล้วแท่งแก้วจะเคลื่อนที่ผ่านแปรงขนนุ่มที่ทำหน้าที่ม้วนขอบถุงยาง ก่อนที่จะผ่านเข้าสู่ตู้อบครั้งสุดท้ายเพื่อให้สารประกอบต่างๆ ในส่วนผสมน้ำยางธรรมชาติทำปฏิกิริยากันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งทำให้ชั้นของ น้ำยางธรรมชาติที่เกิดจากการจุ่มครั้งที่สองหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
       หลังจากนั้น แท่งแก้วจะผ่านขั้นตอนการล้างน้ำที่ผสมสารเคมีเพื่อให้ถุงยางอนามัย ลื่นหลุดออกได้โดยง่าย เมื่อขั้นตอนการขึ้นรูปเสร็จเรียบร้อย ในระหว่างนั้นถุงยางจะถูกนำไปล้างสารเคมีต่างๆ ให้หลุดออกจากผิวยางถุงยางอนามัยให้หมด พร้อมทั้งใส่แป้งเข้าไปเพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน เมื่อล้างเสร็จก็จะนำไปเข้าตู้อบให้แห้งต่อไป ขณะเดียวกันถุงยางบางส่วนจะถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อนำมาตรวจสอบคุณ ภาพใน 3 ส่วนด้วยกันคือ ตรวจความรั่ว ทดสอบแรงดันอากาศและทดสอบความทนทาน
      
       พนักงานจะสุ่มตัวอย่างบางส่วนมาตรวจความรั่วด้วยการเติมน้ำเข้า ไป 300 ซีซี แขวนทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วนำมาคลึงบนกระดาษสีซับน้ำ ถ้าถุงยางเกิดรอยรั่ว จะสามารถสังเกตุเห็นรอยน้ำรั่วซึมบนกระดาษสีได้ชัดเจน จากนั้น ถุงยางก็จะถูกส่งต่อไปยังส่วนที่ทำการทดสอบแรงดันอากาศ อากาศจะถูก อัดเข้าไปในถุงยาง โดยมาตรฐานกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องทนแรงอัดอากาศได้ไม่ต่ำกว่า 18 ลิตรก่อนที่จะระเบิดแตกออก
      
       บางส่วนจะนำไปทดสอบความทนทาน ด้วยการยืดชิ้นส่วนถุงยางอนามัยที่ตัดเป็น ชิ้นกว้างประมาณ 20 มิลลิเมตร ชิ้นส่วนถุงยางจะต้องยืดออกได้ยาวถึง 8 เท่าของความ ยาวปกติก่อนที่จะขาด

ก่อนที่จะนำถุงยางมาบรรจุกล่องในขั้นตอนสุดท้าย ถุงยางทุกชิ้นที่ผลิตได้จะต้องผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์ เพื่อตรวจหารอยรั่วหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ถุงยางแต่ละชิ้นจะถูกครอบลงบนแท่งโครเมียม จากนั้นจะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงขนาด 2,000 โวลต์เข้าไปสู่แท่งโลหะนี้ และจะมีสัญญาณเตือนให้ทราบเมื่อถุงยางอนามัยชิ้นใดชิ้นหนึ่งมีร อยรั่วหรือสิ่งผิดปกติ ซึ่งถุงยางอนามัยชิ้นนั้นจะถูกแยกออกมาต่างหากเพื่อคัดทิ้งต่อไ ป
      
       อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการตรวจสอบคุณภาพจะดำเนินไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาด ไหนก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นจะสมบูรณ์แบบและปลอดภัย 100% เพราะจาก ข้อมูลที่ทางบริษัทผู้ผลิตบันทึกเอาไว้เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูรั่ว
      
       จากนั้นถุงยางอนามัยที่ตรวจสอบคุณภาพแล้วจะถูกนำไปบรรจุฟอยล์แล ะเติมสารฆ่าเชื้อหรือกลิ่นต่างๆ เป็นขั้นตอนสุดท้าย ปกติทั่วไปแล้วมาตรฐานของอย.กำหนดเปอร์เซ็นต์การรั่วเอาไว้ที่ 0.25%
      
       จะเห็นได้ว่ากว่าที่จะมาเป็นถุงยางแต่ละชิ้นนั้นเต็มไปด้วยความ ลับและความยุ่งยาก อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ใช้เองก็ต้องมีความระมัดระวังและใช้ให้ถูกวิธีเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นแล้วแม้สินค้าจะมีคุณภาพมากมายสักเพียงใด แต่ถ้าผู้ใช้ใช้ไม่เป็นแล้ว อันตรายก็ย่อมอาจเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือต้องพึงสังวรณ์เอาไว้ว่า ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามา รถคุมกำเนิดหรือป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคติดต่อทางเพศสั มพันธ์ได้ 100%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น