www.zeedcondom.com

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เอดส์และการใช้ถุงยางอนามัย

เอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือไวรัสเอดส์ที่ติดต่อหลักทางเพศสัมพันธ์และไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้ในระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ดังนั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดติดเชื้อเอดส์จากรูปร่างภายนอก คนที่ดูปกติก็อาจมีเชื้อเอดส์อยู่ในร่างกายได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจเลือด จึงจะทราบผลได้แน่นอน รายงานทั่วโลกพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์มากกว่า 30 ล้านคน ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์แล้วมากกว่า 3 แสนคน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 1 แสนคน ในแต่ละวันมีผู้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มวันละประมาณ 15-20 คน ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่ทราบผลการตรวจเลือดจึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ไม่ทราบผลตรวจเลือด เนื่องจากดังที่กล่าวแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดติดเชื้อเอดส์ได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เช่น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หากผิดพลาดเป็นเอดส์แล้ว จะไม่มีวันรักษาให้หายได้ จำเป็นต้องกินยากดเชื้อไวรัสนี้ไปตลอดชีวิต หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้ แต่ต้องใช้อย่างถูกวิธี ข้อสำคัญ คือ ไม่ควรดื่มสุราหรือของมีนเมาหรือใช้ยาเสพติด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้มีสติสัมปชัญญะลดลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้โดยเฉพาะเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยปกติจะไม่แตกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้น ไม่บีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศออกก่อนสวม, ถุงยางอนามัยหมดอายุ, เก็บถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น โดนความร้อน (ตากแดด หรือเก็บไว้ในรถ) เกิดรอยพับ (เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์), การใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน เช่น โลชั่น แวกส์ วาสลีน สารเหล่านนี้ทำให้ยางอ่อนนุ่มฉีกขาดง่าย, การใช้ปากฉีกซองถุงยาง เพราะฟันอาจพลาดไปกัดถูกถุงยางฉีกขาดได้ และการใช้ถุงยางอนามัยขนาดไม่เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศของตน
คาถาป้องกันเอดส์ “3 ไม่” คือ
1. ไม่ สำส่อน มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อม
2. ไม่ หลายใจ มีเพศสัมพันธ์กับสามีหรือภรรยาตนเท่านั้น
3. ไม่ ประมาท ที่จะใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ถ้าทำไม่ได้ ----> “ไม่รอด”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น